วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เวียนนา เมืองแสนสวยถิ่นกำเนิดเพลงวอลทซ์

“เมืองหลวงแห่งดนตรี บ้านเกิดของคีตกวีของโลก และตำนานอันยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรออสโตร-ฮังกาเรียน เจ้าของแม่น้ำดานูบอันเลื่องชื่อ หลังคาทองที่โด่งดัง และอ้อมกอดภูเขาแสนโรแมนติก” ผมนึกถึงข้อความในหนังสือคู่มือแนะนำการเดินทางประเทศออสเตรีย เครื่องบินเดินทางถึงสนามบินกรุงเวียนนา เวลา 05.45 น. หลังจากที่รับกระเป๋าสัมภาระ รวมทั้งทำธุระส่วนตัวเสร็จแเราเริ่มออกเที่ยวเลยทันทีเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เวลาที่ออสเตรียช้ากว่าเมืองไทยเรา 5 ชั่วโมง ทำให้เราได้เปรียบในเรื่องของเวลา สถานที่แรกไปเที่ยวคือ พระราชวัง Belvedare ป็นพระราชวังที่มีปีกสมมาตรกัน สร้างขึ้นระหว่าง ค.ศ. 1714-1723 ให้กับเจ้าชายยูจีน ซึ่งมีคนกล่าวขานกันว่ามีความเป็นอยู่ดีกว่าจักรพรรดิเสียอีก เจ้าชายยูจีน ท่านเป็นนักรบที่เก่งมาก จะไม่เก่งได้ยังไง เวลาไปรบ หากใครถอยพระองค์ฆ่าทิ้งเลย เจ้าชายยูจีนทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดสามารถรบชนะได้ดินแดนฮังการี ปัจจุบันพระราชวังดังกล่าวใช้เป็นพิพิธภัณฑ์
ประเทศออสเตรีย หรือเรียกว่า สาธารณออสเตรีย ประชาชนกว่า 90% นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก และอีก 6% นับถือนิกายโปรแตสแตนท์ ซึ่งในอดีตเคยมีสงครามศาสนายาวนานถึง 30 ปี การต่อต้านการปฏิรูปทางศาสนาก่อให้เกิดศิลปะบาโรก ว่ากันว่ากรุงเวียนนาคือเมืองหลวงแห่งศิลปะบาโรกของยุโรปกลาง ดูได้จากโบสถ์พระเยซูอิต เคียร์เดอ อัม โฮฟ ที่สร้างตามโบสถ์เยซูอิตในโรม ดังนั้น สถาปัตยกรรมบาโรกจะสังเกตุได้จากโบสถ์ในเมืองเวียนนา หากเดินไปย่านใจกลางเมืองเก่า เส้นถนน Rotenturmstr จะพบกับมหาวิหารเซนต์สเตฟาน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเวียนนา สร้างแล้วเสร็จใน ค.ศ. 1435 โบสถ์นี้มีการปฏิรูปคู่เคียงกับการปฏิรูปศาสนามีการเปลี่ยนแปลงศิลปะกอทิกมาเป็นบาโรก บริเวณใกล้กับวิหารเซนต์สเตฟานเป็นถนนคนเดิน มีร้านค้าขายของมากมาย จะมีการตั้งโต๊ะและเก้าอี้ตามทางเท้า หรือ กลางถนน ทำให้ได้รสชาติของกาแฟและเค้กมันช่างแสนอร่อยถึงแม้ว่าราคาจะแพงก็ตาม และเมื่อมาถึงถนน Schubertring Park-ring คือสวนสาธารณะ Stadtpark เป็นสวนเขียวขจีที่เต็มไปด้วยรูปปั้นครึ่งตัว ที่โดดเด่นที่สุดรูปเต็มตัวของ Johann Strauss ราชาเพลงวอลทซ์ ที่โด่งดัง
เราออกมานอกเมืองเก่า เพื่อไปพระราชวัง Schonbrunn ซึ่งสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ.1696 โดยพยายามเลียนแบบพระราชวังแวร์ซายส์ในขนาดที่เล็กกว่า และเมื่อปี 1740 พระนางมาเรียเทราซา ขึ้นเถลิงถวัลย์ขึ้นเป็นจักรพรรดินี พระนางมีรับสั่งให้สร้างใหม่มีห้องพักนิดหน่อยแค่ 1,441 ห้องแค่นั้นเอง พระราชวังแห่งนี้เป็นสถานที่เกิดเหตุสำคัญต่างๆ ในประวัติศาสตร์ออสเตรียมากมาย พูดถึงความเป็นมาของกฎหมายแพรกมาทิก แซงก์ชั่น ตอนที่พระเจ้าคาร์ลอยู่ในวัย 28 ชันษาก็ทรงกลัดกลุ้มพระทัยที่ไม่มีโอรสสืบบัลลังก์ เพราะไม่มีกฎหมายที่จะยินยอมให้ธิดาสืบทอดได้ จนในปี ค.ศ. 1713 จึงอาศัยช่องโหว่ของกฎหมายที่ให้พระองค์ออกกฎหมายโดยไม่ต้องรอความเห็นชอบจากสภาไดเอท เมื่อครั้งยังทรงเป็นเจ้าหญิงมาเรียเทราซาวัย 15 ชันษา พระเจ้าคาร์ลทรงเห็นว่า มาเรีย เทเรซา ควรจะอภิเษกกับ เจ้าชายเฟรดเดอรริค มกุฎราชกุมาร ปรัสเซีย กลับยืนกรานที่จะแต่งงานกับฟรานซ์ ซเตฟาน ทายาทแห่งรัฐลอร์เรน และทรงเป็นนัดดาของผู้บัญชาการที่ปิดล้อมเวียนนา ดังนั้นฝรั่งเศสจึงใช้กฏหมายแพรกมาทิน แซงก์ชั่นเรียกร้องให้เจ้าบ่าวสละรัฐลอร์เรนให้กับฝรั่งเศษ ในประวัติศาสตร์เขียนว่า พระองค์ทรงหยิบปากกาถึงสามครั้งสามครา จนถูกถากถางว่า ไม่สละราชสมบัติ ก็ไม่มีเจ้าหญิง จึงจำยอมด้วยความจำใจ และในปี ค.ศ. 1736 ทั้งคู่ได้อภิเษกสมรสกัน และเหตุจากกฎหมายแพรกมาทิก แซงก์ชั่นทำให้พระองค์ต้องเข้าสู่สงครามแห่งความหายนะถึงสองครั้งสองคราว ขณะที่พระนางมาเรีย เทราซาได้กำเนิดโอรสที่ทรงพระครรภ์ในช่วงที่ขึ้นครองราชย์ ปี ค.ศ.1740 เป็นจักรพรรดินี พระนางได้เดินทางพร้อมพระโอรสเพื่อหาทางผลักดันผู้รุกรานซิเลเซีลทั้งจากบาวาเรียและฝรั่งเศส ด้วยการวิงวอนขอความช่วยเหลือจากฮังการี ซึ่งพระนางสามารถริบมงกุฎจักรพรรดิแห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมาได้ แต่ก็ไม่ได้ซิเลเซียคืน ครั้นจะเอามงกุฎไว้เองคงไม่เหมาะ จงยกให้พระสวามีในปี ค.ศ.1745 ซึ่งต่อมาอีก 19 ปี โอรสโยเซฟที่ 2 ได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งโรมมันอันศักดิ์สิทธิ์

นอกเรื่องไปไกลเลย กลับเข้ามาเที่ยวภายในพระราชวัง Schonbrunn จุดเด่นของพระราชวังนี้ ได้แก่ ห้องกระจกโวล์ฟกัง อมาเดอุส โมซาร์ท หนูน้อยอัจฉริยะ เกิดที่เมืองชาลช์บูร์ก ไม่น่าเชื่อว่าโมซาร์ทจะเกิดมาทัน เพราะโมซาร์ทเกิดในปี ค.ศ. 1756 ห้องจีนสีฟ้าที่สะท้อนศิลปโรโกโก้ ตกแต่งด้วยศิลปะจีน ที่น่าทึ่งคือ ผ้าไหมทอมือจากจีน ที่เอามาประดับในห้อง สวยงามมาก ทำให้รู้ว่าในสมัยนั้น นิยมนำเข้าของจากจีน โดยเฉพาะผ้าไหม กระเบื้อง ต้นส้ม รวมทั้งการลงรักปิดทอง ถือว่าเป็นของทันสมัยมาก แต่ในห้องถัดไปมีภาพที่ชอบมากที่สุดคือภาพวาดผู้ชายไม่ทราบว่าเป็นใคร ที่เท้าซ้ายจะชี้ตามเราตลอดเลย ไม่ว่าเราจะอยู่มุมไหนของห้อง ภาพวาดส่วนใหญ่จะเน้นที่พระนางมาเรีย เทเรซาเป็นหลัก เพราะทุกคนในภาพจะไม่มีใครเด่นเกินพระนางเลย และภาพปูนเปียกบนเพดานที่วาดยกย่องวราชวงศ์ฮัมบูร์ก และลอร์เรน แต่ส่วนที่วิจิตรที่สุดคือ พระราชอุทานที่มีทั้งน้ำพุเทพเนปจูน ปูชนียสถานแบบโรมัน และอนุสรณ์กลอรีทเทอ สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองที่สามารถต้านการรุกชองเฟรดเดอริคมหาราชได้ ปลายอุทยานมีพัลเมนเฉาส์ที่เพียบพร้อมด้วยเหล็กดัดและกระจก รวมทั้ง สวนสัตว์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ที่ยังคงรักษากรงขังสัตว์ป่าลักษณะศิลปะบาโรกฝีมือของฟราน ซเตฟานใว้ในอุทยาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น