วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ทะเลแหวก

ทะเลแหวก หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยว Unseen Thailand อีกที่หนึ่งของจังหวัดกระบี่ เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจาก อิทธิพลของ น้ำขึ้นและน้ำลง ทำให้สันทรายของเกาะทั้ง 3 คือ เกาะทับ เกาะหม้อ และ เกาะไก่ ปรากฏขึ้น เมื่อน้ำลด นักท่องเที่ยวสามารถเดินเล่น ไป - มา ได้ระหว่างเกาะ โดยส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะเดินทางมาถ่ายรูปกันเพื่อเป็น ที่ระลึก และเล่นน้ำทะเล เนื่องจากบริเวณนี้ น้ำทะเลจะใส สามารถมองเห็นฝูงปลาสวยงามตัวเล็กๆ นักท่องเที่ยว ที่จะเดินทางมาเพื่อชมปรากฏการณ์ ทะเลแหวกนี้ ควรจะเดินทางมาในช่วง เวลาที่น้ำทะเลลงต่ำสุด ในแต่ละวัน โดยเฉพาะในวันก่อน และหลังวันขึ้น 15 ค่ำ ราว 5 วัน

ทิเบต

ทิเบต ตั้งอยู่ในใจกลางของทวีปเอเชียระหว่างประเทศจีนกับอินเดีย ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 2.5 ล้านตารางกิโลเมตร ในบริเวณที่มีภูเขาและที่ราบสูงที่สุดในโลก มีอากาศแห้งและหนาวเย็น รวมทั้งที่ราบกลางหุบเขาริมแม่น้ำอันกว้างใหญ่หลายสาย อันเป็นที่พำนักพิงของชาวธิเบต ผู้ซึ่งมีวัฒนธรรมประเพณีเป็นของตนเอง มาเป็นเวลาช้านาน และมีชีวิตความเป็นอยู่แตกต่างจากผู้คนในประเทศเพื่อนบ้าน ชาวธิเบตได้มีการพัฒนาทางวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์ในตนเอง ทั้งยังมีการพัฒนาด้านสติปัญญาและจิตใจ ได้แก่ การมีภาษาที่โดดเด่น มีวรรณกรรมอันยิ่งใหญ่ และมีผลงานศิลปะที่น่ามหัศจรรย์ นอกจากนี้ อารยธรรมของชาวธิเบต ซึ่งสืบเนื่องมาเป็นเวลาหลายพันปีนั้น ยังเป็นอารยธรรมที่สูงส่ง และมีคุณค่าสืบทอดต่อกันมา เป็นมรดกของมนุษยชาติ

เขื่อนแก่งกระจาน

เขื่อนแก่งกระจาน เป็นเขื่อนดินกั้นแม่น้ำเพชรบุรี ที่บริเวณเขาเจ้า และเขาไม้รวกประชิดกับ ตำบลแก่งกระจาน อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี อยู่ทางด้านเหนือน้ำ ของเขื่อนเพชรขึ้นไปตามถนน 27 กิโลเมตร สันเขื่อนยาว 760 เมตร กว้าง 8 เมตร สูง 58 เมตร ระดับสันเขื่อน 106 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ฐานตอนที่กว้างที่สุด 250 เมตร สร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2509 เป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ

เขื่อนแก่งกระจาน อยู่ห่างจากตัวเมืองเพชรบุรี 53 กิโลเมตร และห่างจากอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน 3 กิโลเมตร เดินทางตามเส้นทางเดียวกับอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน

ท่องเที่ยวสัตหีบ ชมเรือจักรีนฤเบศร

ความเป็นมา ของเรือลำนี้สืบเนื่องมาเมื่อปี พ.ศ 2532 ได้เกิดพายุไต้ฝุ่ยเกย์ ขึ้นในอ่าวไทยจากเหตุ การณ์ในครั้งนั้นทำให้ประชาชนและชาวประมงที่ประสบเหตุหรือผู้ที่อยู่อาศัยใกล้พื้นที่ต้องบาดเจ็บล้ม ตายเป็นจำนวนมากทั้งในด้านต่างๆอันได้แก่ การคมนาคม การสื่อสาร ต้องถูกตัดขาดลงอย่างสิ้นเชิง กองทัพเรือในฐานะหน่วยกำลังทางทะเล ได้ใช้ความสามารถต่างๆอาทิเช่นกองกำลังทางทะเล และ เครื่องบิน ถึงกระนั้นยังไม่สามารถต้านทานต่อสภาพเลวร้ายทางทะเลในครั้งนั้นได้ และนี่คือแนวคิดใน การจัดหาเรือขนาดใหญ่พร้อมเฮลิคอปเตอร์หรือ อากาศยานที่มีลักษณะเด่นเพื่อใช้ในการช่วยเหลือ และค้นหาผู้ประสบภัยทางทะเลได้ดี อีกทั้งประเทศไทยเราประกาศเขตเศรษฐกิจจำเพาะออกไปอีก 200 ไมล์ทะเล ดังนั้นยังมีภารกิจอีกอย่างคือ ปกป้องผลประโยชน์ของชาติทางทะเลอีกทางหนึ่งด้วย

อนุมัติสร้าง คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2535 อนุมัติให้กองทัพเรือว่าจ้างสร้างเรือ บรรทุกเฮลิคอปเตอร์ ลักษณะรัฐบาลต่อรัฐบาลจำนวน 1 ลำจากบริษัทบาซาน ประเทศสเปนวงเงิน ประมาณ 7,100 ล้านบาท และในวันพิธีปล่อยเรือลงน้ำ นั้นนับเป็นมหามงคลต่อกองทัพเรือที่ สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ทรงกรุณาเสด็จเป็นองค์ประธาน สมเด็จพระราชินีโซเฟีย แห่ง ประเทศสเปนทรงเสด็จร่วมในพิธีปล่อยเรือลงน้ำ ที่อู่บาซาน เมืองเฟโรล ในวันที่ 20 มกราคม 2539

ภารกิจของ ร.ล จักรีนฤเบศร ในยามสงบ อันได้แก่คอยปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติในทะเลได้แก่เส้นทางคมนาคม และทรัพยากรธรรมชาติ ของชาติ และช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทะเลสามารถค้นหาและเป็นฐานปฎิบัติการณ์ลอยน้ำให้กับหน่วยงานต่างๆได้ และยังสามารถเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ที่คอยช่วยเหลือในกรณีประสบภัยอีกด้วย อีกทั้งสามารถอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ด้วย เฮลิคอปเตอร์ประจำเรือและ คอยควบคุมรักษาสิ่งแวดล้อมในทะเล ส่วนในยามสงคราม เรือจักรีนฤเบศร ก็จะมีหน้าที่ควบคุมและบัญชาการกองเรือในทะเล และปราบเรือดำน้ำและสนับสนุนการปฎิบัติการทางทหารอีกด้วย

ลักษณะทั่วไปของเรือ ความยาวตลอดลำ 182.6 เมตรหรือประมาณสนามฟุตบอล 2 สนามต่อกัน กินน้ำลึกที่ระวางขับน้ำสูงสุด 6.12 เมตรหรือ สูงเท่าสะพานลอยคนข้าม ระวางขับน้ำสูงสุด 11,485.5 เมตริกตันเครื่องยนต์ดีเซล MTU จำนวน 2 เครื่องๆละ 5,516 แรงม้าเครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์ 2 เครื่องๆละ 22,117 แรงม้า ความเร็วสูงสุดที่ 48 กิโลเมตรต่อชั่วโมงความเร็วเดินทาง 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอากาศยานประจำเรืออันได้แก่ เครื่องบิน ขึ้น-ลง แนวดิ่ง แบบ AV-8S ( SEA HARRIER ) จำนวน 9 เครื่อง เฮลิคอปเตอร์แบบ S-70B-7 ( SEA HAWK ) จำนวน 6 เครื่อง กำลังพลประจำเรือ 601 นาย

กําแพงเมืองจีน

กําแพงเมืองจีน---สิ่งก่อสร้างในสมัยโบราณของจีนที่มีชื่อเลื่องลือไปทั่วโลกนั้น ตอนที่มีความสําคัญทางยุทธศาสตร์ตอนหนึ่งชื่อว่า "ปาต๋าหลิ่ง" อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงปักกิ่ง ห่างจากตัวเมืองกรุงปักกิ่งประมาณ ๘๐ กิโลเมตร

กําแพงเมืองจีนมีความยาวทั้งหมด ๖๗๐๐ กิโลเมตร กําแพงเมืองจีนเริ่มสร้างในสมัยจ้านกว๋อ เวลานั้น ก๊กเยี่ยน ก๊กจ้าวและก๊กฉินในภาคเหนือของจีนต่างได้สร้างกําแพงของตนขึ้นในที่ที่มีความสําคัญทางยุทธศาสตร์เพื่อป้องกันการบุกรุกของก๊กใกล้เคียงและเผ่าชนเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ทางเหนือหลังจากจักรพรรดิฉินสื่อหวงรวมประเทศจีนเข้าเป็นเอกภาพเมื่อ ๒๒๑ปีก่อนคศ. ก็ได้เชื่อมต่อกําแพงที่ก๊กต่าง ๆ สร้างไว้เข้าด้วยกันและสร้างต่อเติมขึ้นอีก ครั้นถึงสมัยราชวงศ์ฮั่น ราชวงศ์ถัง ราชวงศ์สุย ราชวงศ์หยวนและราชวงศ์หมิงก็ได้ซ่อมแซมและสร้างเติมเสริมต่อเรื่อยมา กําแพงเมืองจีนในทุกวันนี้ส่วนใหญ่สร้างขึ้นใหม่ในสมัยราชวงศ์หมิง การก่อสร้างกําแพงที่มีความยาวถึง ๖๐๐๐ กว่ากิโลเมตร บางแห่งยังต้องสร้างบนภูเขาทั้งสูงชันและสลับซับซ้อนอยู่เหนือระดับนํ้าทะเล ๑๐๐๐ กว่าเมตรในสมัยที่การลําเลียงขนส่ง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียังไม่เจริญนั้นจะลําบากยากเข็ญเพียงไร ก็ด้วยเหตุนี้เอง กําแพงเมืองจีนจึงได้ชื่อว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ชิ้นหนึ่งในสถาปัตยกรรมของโลก

กําแพงเมืองจีนประกอบด้วยด่าน กําแพง ป้อมรักษาการณ์และหอคอยจุดเพลิงสัญญาณ ด่านตั้งอยู่ตรงจุดสําคัญในเส้นทางคมนาคม

มีกําแพงหลายชั้น มีทหารประจํารักษาอยู่เป็นจํานวนมากซึ่งเป็นที่ตั้งกองบัญชาการทหาร ด่านจียงกวานที่ปาต๋าหลิ่งเป็นด่านสําคัญแห่งหนึ่งของกําแพงเมืองจีน กําแพงเมืองจีนโดยเฉลี่ยสูง ๗---๘ เมตร กว้าง ๕---๖ เมตร สันกําแพงด้านนอกมีเชิงเทินรูปฟันปลาเป็นที่กําบังตัว ข้าง ๆ เชิงเทินมีช่องมอง ใต้เชิงเทินมีช่องยิงลูกศร โดยทั่วไปบนที่สูงหรือบนยอดเขานอกกําแพง สร้างหอคอยสําหรับจุดเพลิงสัญญาณไว้เป็นระยะ ๆ ซึ่งเป็นสถานีส่งสัญญาณแจ้งเหตุทางทหารในสมัยโบราณแต่ละหอคอยรับส่งสัญญาณกันเป็นทอด ๆ จนถึงเมืองหลวงหรือเขตป้องกันเมืองเขตใหญ่ ประกอบเป็นโครงข่าวสื่อสารอันสมบูรณ์ ถ้าเกิดมีข้าศึกมากลางวันก็สุมควัน มากลางคืนก็จุดไฟเป็นสัญญาณ กําแพงเมืองจีนในทุกวันนี้ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ดึงดูดใจทั้งชาวจีนและชาวต่างประเทศ

วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

10 สถานที่แปลก ๆ ที่ไม่คิดว่ามีในโลก

1. เดอะเวฟ (The Wave) ที่รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา
เดอะเวฟ คือ ภูเขาหินทรายที่ฟอร์มตัวในลักษณะคล้ายคลื่นลาดชัน เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 190 ล้านปีก่อนหรือในยุคจูราสสิก เนื่องจากพื้นที่แถบนี้มีความเปราะบางมาก ทางการจึงจำกัดให้เข้าชมได้เพียงวันละไม่เกิน 20 คน และต้องเดินเท้าเข้าไปเกือบ 5 ก.ม. จึงจะถึงดินแดนมหัศจรรย์แห่งนี้

2. Tessellated Pavement บนเกาะแทสเมเนีย (รัฐหนึ่งในประเทศออสเตรเลีย)

นี่คือภาพลานหินตะกอนบริเวณชายฝั่งที่ Eaglehawk Neck บนเกาะแทสมาเนีย ซึ่งถ้าหากมองเผินๆ จะแลดูคล้ายมีใครนำแผ่นกระเบื้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่มาวางเรียงรายริมทะเล (บริเวณขอบสี่เหลี่ยมที่เราเห็นเป็นแนวเส้นตรงนั้น เกิดจากแรงตึงเครียดของผิวโลก ผนวกกับการกัดเซาะอย่างต่อเนื่องของคลื่นและแรงเสียดสีของทราย)

3. หินรูปทรงประหลาด ในทะเลทรายขาว (White Desert) ประเทศอียิปต์
ทะเลทรายแห่งนี้ตั้งอยู่ใน Farafra Oasis มีลักษณะเป็นสีขาวและครีม ประกอบด้วยกลุ่มหินชอล์ครูปทรงประหลาดขนาดใหญ่มากมาย อันเป็นผลงานของพายุทรายที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว

4. บ่อน้ำพุร้อนสีเลือด (Blood Pond Hot Spring) ที่เบปปุ ประเทศญี่ปุ่น
น้ำพุร้อนสีเลือด (Chinoike Jigoku) เป็นหนึ่งในบ่อน้ำพุร้อนชื่อดังของเมืองเบปปุ ในจังหวัดโออิตะ บนเกาะคิวชู สาเหตุที่น้ำพุมีสีเลือดเนื่องจากมีธาตุเหล็กอยู่ในปริมาณมากนั่นเอง

5. Giant's Causeway ที่ไอร์แลนด์เหนือ
Giant's Causeway เป็นชายฝั่งที่เกิดจากการเย็นตัวของหินภูเขาไฟเมื่อประมาณ 50,000 ถึง 60,000 ปีที่ผ่านมา ก่อให้เกิดหินรูปหกเหลี่ยมและหินแท่งสี่เหลี่ยมกว่า 40,000 แท่ง องค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียน Giant´s Causeway เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1986 (พ.ศ. 2529)

6. ทะเลเกลือ (salt flats) ที่ Salar de Uyuni ประเทศโบลิเวีย
จริงๆ แล้วที่ราบเกลือหรือทะเลเกลือลักษณะนี้มีอยู่หลายแห่งด้วยกัน แต่ทะเลเกลือที่ Salar de Uyuni ของประเทศโบลิเวียนั้น มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลมากถึง 10,582 ตารางกิโลเมตร

7. ป่าหิน (Stone Forest) เมืองคุนหมิง มลฑลยูนาน ประเทศจีน
อุทยานป่าหิน (Shilin National Park) ในเมืองคุนหมิง จัดเป็นป่าหินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีพื้นที่มากถึง 350 ตารางกิโลเมตร แต่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมเพียง 12 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น เดิมทีหินปูนเหล่านี้อยู่ใต้ผิวโลก แต่ภายหลังได้ถูกดันขึ้นมาในลักษณะเดียวกับหินงอก เชื่อกันว่าป่าหินแห่งนี้มีอายุราว 270 ล้านปีเลยทีเดียว

8. ธารน้ำแข็ง Taylor ใน McMurdo Dry Valleys ที่แอนตาร์คติกา (ขั้วโลกใต้)
ธารน้ำแข็งอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ มีพื้นที่ส่วนหนึ่งที่โดดเด่นเป็นสีแดงส้ม ตัดกับน้ำแข็งส่วนอื่นๆ ซึ่งมีสีขาวโพลน เนื่องจากพื้นที่แถบนั้นเต็มไปด้วยออกไซด์ของเหล็ก (iron oxide) ซึ่งก็คือ "สนิม" นั่นเอง ด้วยเหตุนี้บริเวณดังกล่าวจึงได้รับการขนานนามตามลักษณะทางกายภาพว่า "น้ำตกเลือด" (Blood Falls)

9. ทะเลสาบสปอท เลค (Spotted Lake) – ประเทศแคนาดา
“สปอท เลค” ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในทะเลสาบที่มีแร่ธาตุชนิดต่างๆ อาทิ แมกนีเซียม ซัลเฟต, แคลเซียม และโซเดียม ซัลเฟต ในปริมาณเข้มข้นมากที่สุดในโลก แต่น่าเสียดายที่ทะเลสาบแห่งนี้อยู่ในที่ดินของเอกชน นักท่องเที่ยวจึงทำได้แค่มองจากราวรั้วกั้นริมถนนเท่านั้น (ส่วนที่เป็นจุดๆ คือน้ำ นอกนั้นเป็นส่วนของแร่ธาตุนานาชนิด ที่สามารถลงไปเดินสำรวจได้)

10. ทะเลทรายแบล็ค ร็อค (Black Rock Desert) ที่รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา
ทะเลทรายแบล็คร็อค คือ ก้นทะเลสาบที่แห้งสนิท ครั้งหนึ่งดินแดนแถบนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของทะเลสาบในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ที่มีชื่อว่า "Lahontan" ซึ่งปรากฏอยู่ในสมัย 18,000-7,000 พันปีก่อนคริสตกาล ในช่วงที่ทะเลสาบโบราณแห่งนี้มีระดับน้ำสูงสุด (เมื่อประมาณ 12,700 ปีก่อน) ทะเลทรายแบล็คร็อคเคยอยู่ใต้น้ำที่มีความลึกถึง 150 เมตรเลยทีเดียว

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ปริศนาเจ้าหญิงอนาสตาเซีย


ปริศนาเจ้าหญิงอนาสตาเซีย
แกรนด์ ดัชเชส อนาสตาเซีย แห่งรัสเซีย (Grand Duchess Anastasia Nikolaevna of Russia) ทรงเป็นพระราชธิดาลำดับที่4ของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่2และพระนางอเล็กซานดราแห่งราชวงศ์โรมานอฟ (Romanov)แห่งรัสเซีย
พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่2และพระนางอเล็คซานดราทรงมีพระโอรสและพระราชธิดารวมทั้งสิ้น4พระองค์คือเจ้าหญิงโอลกา เจ้าหญิงมาเรีย เจ้าหญิงทาเทียนา เจ้าหญิงอนาสตาเซียและเจ้าชายอเล็กเซย์

เจ้าหญิงอนาสตาเซีย ถูกสันนิษฐานว่าทรงถูกประหารพร้อมพระบิดา พระมารดาและเชื้อพระวงศ์ เมื่อวันที่ 17กรกฎาคมค.ศ.1918 เมื่อพระนางมีพระชนมายุเพียง17ชันษา โดยกองกำลังตำรวจลับบอลเชวิคแต่ได้มีการเล่าขานว่า เจ้าหญิงอนาสตาเซีย เป็นพระธิดาองค์เดียวที่ทรงรอดมาได้จากการถูกสังหารของกองตำรวจลับ บอลเชวิค เพราะขณะที่ฝ่ายบอลเชวิคยิงประหารพระองค์กระสุนได้กระทบกับเครื่องประดับ ที่เป็นอัญมณีและกระเด้งหายไป แต่พระองค์ก็ทรงแกล้งสิ้นพระชนม์


ตึกแดง คุกขี้ไก่ จันทบุรี เลี้ยงไก่ด้านบน ด้านล่างเป็นคุก

ตึกแดง ตั้งอยู่ที่ตำบลปากน้ำแหลมสิงห์ อำเภอแหลมสิงห์ บริเวณท่าเรือแหลมสิงห์ อำเภอแหลมสิงห์ ใกล้กับ คุกขี้ไก่ ห่างจากตัวเมืองจันทบุรี 30 กิโลเมตร สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2436 พร้อมกับคุกขี้ไก่ เดิมเป็นที่ตั้งของป้อมพิฆาตปัจจามิตรซึ่งสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 ต่อมาเมื่อฝรั่งเศสเข้ายึดเมืองจันทบุรีได้รื้อป้อมแห่งนี้ลง และสร้างตึกแดงขึ้นเพื่อใช้เป็นที่พักและกองบัญชาการทหารฝรั่งเศส เป็นตึกชั้นเดียว สีแดง หลังคามุงกระเบื้อง
คุกขี้ไก่ ตั้งอยู่ใกล้ตึกแดง ที่ตำบลปากน้ำแหลมสิงห์ ก่อนถึงท่าเทียบเรือ 1 กิโลเมตร สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2436 (ร.ศ. 112) เมื่อฝรั่งเศสได้เข้ายึดจันทบุรี ในกรณีพิพาทกันด้วยเรื่องดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ระหว่างนั้นกองทหารฝรั่งเศสประมาณ 600 คน แยกกันอยู่สองแห่ง แห่งแรกตั้งอยู่ที่เมืองจันทบุรี บริเวณที่เป็นค่ายทหารในปัจจุบัน อีกแห่งอยู่ที่ปากน้ำแหลมสิงห์ ฝรั่งเศสได้สร้างคุกขี้ไก่เพื่อใช้กักขังคนไทยที่ต่อต้านฝรั่งเศส มีลักษณะเป็นหอสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างยาวด้านละประมาณ 4.40 เมตร สูงประมาณ 7 เมตร มีช่องระบายอากาศอยู่สองแถว หลังคาโปร่ง เล่ากันว่าเป็นคุกที่ทรมานมาก เพราะชั้นบนใช้เป็นที่เลี้ยงไก่ ซึ่งจะถ่ายมูลราดศีรษะนักโทษที่ถูกคุมขังตลอดเวลา การเดินทาง คุกขี้ไก่ห่างจากอำเภอเมืองประมาณ 30 กิโลเมตร ใช้ทางหลวงหมายเลข 3 เส้นจันทบุรี-ตราด เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 3149 ก่อนถึงอำเภอแหลมสิงห์ตั้งอยู่ทางด้านขวามือ

วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Jules Verne

นวนิยายและภาพยนตร์ Sci – Fiโลกรู้จัก Jules Gabriel Verne ผู้เกิดเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2371 ที่เมือง Nantes ในฝรั่งเศส ว่าเป็นนักเขียนวนนิยายวิทยาศาสตร์กว่า 60 เล่ม ผลงานของเขาทำให้นักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์ นักสำรวจ รวมถึงวิศวกรและสังคมทั่วไปตื่นตัวมาก เพราะนวนิยายที่ Verne เขียนสมจริง ละเอียด และมีเนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวกับการผจญภัยที่ได้สอดแทรกความรู้วิทยาศาสตร์ลงไปด้วย

การศึกษาประวัติของ Verne ทำให้รู้ว่าเมื่อ Verne อายุ 20 ปี บิดาได้ส่งไปเรียนกฎหมายที่ปารีส ถึงจะเรียนสำเร็จตามที่บิดาต้องการ แต่ Verne ได้พบว่า เขารักที่จะเขียนนวนิยายมากกว่าที่จะเป็นทนายในศาล Verne จึงเลิกอาชีพทนาย แล้วหันมาหารายได้ โดยการเขียนบทละคร กาพย์ กลอน และนวนิยาย เรื่องสั้นแทน

ฝรั่งเศสในสมัยนั้นเป็นยุคที่วิทยาศาสตร์กำลังเฟื่องฟู มีการสำรวจดินแดนแพร่หลาย อุตสาหกรรมกำลังขยายตัว และเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทำให้นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรคือวีรบุคคลของประเทศ และเมื่อการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนไม่ได้ให้ความรู้วิทยาศาสตร์แก่นักเรียนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ประชาชนซึ่งกระหายอยากเรียนรู้วิทยาศาสตร์มาก จึงต้องอาศัยการอ่านนวนิยายวิทยาศาสตร์แทน

นวนิยายวิทยาศาสตร์เล่มแรกของ Verne ชื่อ Five Weeks in a Balloon ขณะเขียนหนังสือเล่มนี้ Verne ได้อาศัย Jacques Arago นักฟิสิกส์มาสอนแนะเทคนิคและวิธีควบคุมบอลลูนจนรู้พอที่สามารถเขียนการเดินทางโดยใช้บอลลูนได้อย่างสมจริง และนวนิยายเรื่องนี้ก็ได้รับการตอบรับจากผู้อ่านเป็นอย่างดี เพราะคนฝรั่งเศสยุคนั้นสนใจการสำรวจและการผจญภัยต่างแดนมาก

ในปี 2407 Verne ได้เขียนนวนิยายเรื่อง Journey to the Center of the Earth ซึ่งเกี่ยวกับการผจญภัยของศาสตราจารย์ Lidenbrock และหลาน Axel ใต้โลก และได้เห็นสัตว์ประหลาด รวมทั้งภูมิประเทศที่แปลกมหัศจรรย์มากมาย และเมื่อประชาชนกำลังสนใจธรณีวิทยา และบรรพชีวินวิทยามาก การผสมผสานจินตนาการกับวิทยาศาสตร์ จึงทำให้นวนิยายนี้ติดอันดับหนังสือขายดีทันที

ในปีต่อมา Verne ได้ประพันธ์เรื่อง From the Earth to the Moon ซึ่งให้ความรู้เรื่องสภาพไร้น้ำหนักและการเสียดสีกับบรรยากาศโลกของยานอวกาศ ขณะเดินทางจากโลกและสู่โลก เพราะเทคโนโลยีจรวดในสมัยนั้นยังไม่มี ดังนั้น Verne จึงใช้ปืนใหญ่ยิงยานอวกาศให้พุ่งไปตกบนดวงจันทร์แทน

ก่อน Verne เกิด 28 ปี Robert Fulton ได้ประสบความสำเร็จในการออกแบบเรือดำน้ำ ชื่อ Nautilus ที่ปารีส ความตื่นเต้นในการเห็นเรือดำน้ำทำให้ Verne สนใจเรื่องเดินเรือมาก จึงเขียนนวนิยายเรื่อง Twenty Thousand Leagues under the Sea ซึ่งเกี่ยวกับการเดินทางใต้ทะเล โดยเรือดำน้ำชื่อ Nautilus

นวนิยายที่ทำให้ Verne ร่ำรวยมากที่สุดคือ นวนิยายเรื่อง Around the World in Eighty Days (80 วันรอบโลก) ซึ่งเขียนในปี 2415 จากการได้อ่านตำราภูมิศาสตร์หลายเล่ม และก็เขียนได้ดี จนทำให้เรา ณ วันนี้รู้ว่า ถ้าเขาไม่เป็นนักประพันธ์เขาก็คงมีอาชีพเป็นนักภูมิศาสตร์แน่ ๆ หนังสือ 80 วันรอบโลกนี้ขายได้มากถึง 108,000 เล่ม และได้รับการชื่นชมจากคนอ่านมาก เพราะในเวลานั้น Ferdinard de Lesseps เพิ่งขุดคลอง Suez เสร็จ และชาวยุโรปกำลังสนใจการเดินทางไปเยือนสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลก

นอกจากนี้ Verne ก็ยังได้เรียบเรียงนวนิยายวิทยาศาสตร์อีกหลายเล่ม เช่น Around the Moon, The Mysterious Island ซึ่งมีเฮลิคอปเตอร์ และดาวเทียมการศึกษาผลงานของ Verne ทำให้เรารู้ว่าเขาได้รับอิทธิพลในการเขียนนวนิยายวิทยาศาสตร์จาก Edgar Allan Poe

ในยามว่าง Verne ชอบแล่นเรือใบ และเมื่ออายุได้ 36 ปี Verne ถูกคนสติเสียยิง ทำให้ขาพิการ แต่เขาก็ยังพำนักอยู่ที่เมือง Amiens ต่อไป ในบั้นปลายชีวิต Verne ป่วยหนัก เมื่อตาเป็นต้อหินเขาจึงรู้สึกเศร้าซึมมาก Verne เสียชีวิต เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2448 ขณะอายุ 78 ปี

ในปี 2540 เหลนของ Verne ได้พบนวนิยายเรื่อง Paris in the 20th Century ของ Verne ซึ่งไม่เคยตีพิมพ์ที่ใดมาก่อน นวนิยายเล่มนี้ กล่าวถึงตึกระฟ้า รถไฟความเร็วสูง เครื่องคิดเลขและโทรสาร ซึ่งอุปกรณ์และวัตถุเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราทุกวันนี้มีและใช้ แต่นวนิยายนี้แตกต่างจากเรื่องอื่น ๆ ของ Verne ตรงที่ว่า Verne กล่าวถึงผลกระทบของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในแง่ลบ

ในภาพรวม ผลงานที่สำคัญของ Verne คือการบุกเบิกทำให้นวนิยายวิทยาศาสตร์เป็นการประพันธ์รูปแบบหนึ่งที่สังคมยอมรับ