วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Petit garçon

Petit garçon
Dans son manteau rouge et blanc
Sur un traîneau porté par le vent
Il descendra par la cheminée
Petit garçon, il est l'heure d'aller se coucher
Tes yeux se voilent
Ecoute les étoiles
Tout est calme, reposé
Entends-tu les clochettes tintinnabuler ?
Et demain matin petit garçon
Tu trouveras dans tes chaussons
Tous les jouets dont tu as rêvé
Petit garçon il est l'heure d'aller se coucher
Tes yeux se voilent
Ecoute les étoiles
Tout est calme, reposé
Entends-tu les clochettes tintinnabuler ?
Et demain matin petit garçon
Tu trouveras dans tes chaussons
Tous les jouets dont tu as rêvé
Petit garçon il est l'heure d'aller se coucher...

เพลงนี้เกี่ยวกับ "เด็กน้อย" ในคืนวันคริสต์มาส กล่าวถึง ช่วงเวลาที่ซานตาครอสนั่งเลื่อน เทียมกวางเรนเดียร์มาส่งของขวัญตามบ้านของเด็กๆ ช่วงเวลานี้เป็นเวลาที่เด็กจะต้องเข้า นอนกันแล้ว แต่พรุ่งนี้เมื่อเด็กน้อยตื่นขึ้นมาก็จะพบกับของขวัญอยู่ในถุงเท้ามากมายอย่างที่ วาดฝันเอาไว้

ซานตาครอส ในภาษาฝรั่งเศส คือ Le Père Noël เลอ แปร์ โนแอล

Christmas

ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส ซึ่งเป็นวันประสูติของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในรัชกาลของจักรพรรดิออกุสตุสแห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรีย ก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 23 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิซาไกกำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพ

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64 - ค.ศ. 313 จนถึงวันที่ 23 ธันวาคม ปี ค.ศ. 330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย
ต้นคริสต์มาส
ต้นคริสต์มาสหรือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยดวงไฟหลากสีสัน การตกแต่งนี้ย้อนไปในศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมา มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปีค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก
ซานตาคลอส
นักบุญ(เซนต์)นิโคลัสแห่งเมืองไมรา นักบุญองค์นี้เป็นสังฆราช ของ ไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่4 ได้รับการยกย่องให้เป็นซานตาคลอสคนแรก เพราะมาวันหนึ่ง เป็นวันคริตส์มาสเซนต์จึงเดินทางแจกของขวัญให้กับเด็กๆอย่างมีความสุข

วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

หอเอนเมืองปิซ่า


หอเอนเมืองปิซา (อิตาลี: Torre pendente di Pisa หรือ La Torre di Pisa, อังกฤษ: Leaning Tower of Pisa) ตั้งอยู่ที่เมืองปิซา ในจัตุรัสเปียซซา เดล ดูโอโม (Piazza Del Duomo) หอระฆังของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เป็นหอทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว สูง 183.3 ฟุต (55.86 เมตร) น้ำหนักรวม 14,500 ตันโดยประมาณ มีบันได 293 ขั้น เอียง 3.97 องศา ยอดของหอห่างจากแนวตั้งฉาก 3.9 เมตร

การสร้าง

เริ่มสร้างเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1173 สร้างเสร็จเมื่อปี 1350 ใช้เวลาสร้างประมาณ 175 ปี แต่การก่อสร้างหยุดชะงักเมื่อสร้างไปได้ถึงชั้น 3 เนื่องจากพื้นใต้ดินเป็นพื้นดินที่นิ่ม ทำให้ยุบตัว ต่อมาในปี ค.ศ.1272 โดย Giovanni di Simone สร้างให้เอนกลับไปอีกด้านหนึ่งเพื่อให้สมดุล แต่การก่อสร้างในครั้งนี้ ก็ต้องหยุดชะงักลงอีกครั้งเนื่องจากเกิดสงคราม ต่อมาก็มีการสร้างหอต่อขึ้นอีกและสร้างเสร็จ 7 ชั้น ในปี ค.ศ.1319 แต่หอระฆังถูกสร้างเสร็จในปี ค.ศ.1372 โดยใช้เวลาสร้างทั้งหมด 177 ปี
หลังจากนั้น ในปี ค.ศ. 1990-2001 หอเอนปีซาได้รับการปรับปรุงฐานให้แข็งแรงยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้หอล้มลงมา


ประวัติ

กาลิเลโอ กาลิเลอิ เคยใช้หอนี้ทดลองเกี่ยวกับเรื่อง แรงโน้มถ่วง ในตอนที่เขาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยปิซา โดยใช้ลูกบอล 2 ลูกที่น้ำหนักไม่เท่ากันทิ้งลงมา เพื่อพิสูจน์ว่า ลูกบอล 2 ลูกจะตกถึงพื้นพร้อมกัน ซึ่งก็เป็นไปตามที่กาลิเลโอคาดไว้

ในปี ค.ศ.1934 เบนิโต มุสโสลินี พยายามจะทำให้หอกลับมาตั้งฉากดังเดิม โดยเทคอนกรีตลงไปที่ฐาน แต่กลับทำให้หอยิ่งเอียงมากขึ้นไปอีก กองทัพสหรัฐฯ ตัดสินใจไม่ยิงปืนใหญ่ใส่หอเอนเมืองปิซา
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1964 รัฐบาล
อิตาลี พยายามหยุดการเอียงของหอเอนเมืองปิซา โดยผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น วิศวกร นักคณิตศาสตร์ และนักประวัติศาสตร์ โดยใช้เหล็กรวมกว่า 800 ตัน ค้ำไว้ไม่ให้หอล้มลงมา

ในวันที่ 7 มกราคม ค.ศ.1990 หอเอนเมืองปิซาถูกปิดไม่ให้นักท่องเที่ยว เพื่อความปลอดภัย อีกทั้งยังขุดดินของอีกด้านหนึ่งออก เพื่อให้สมดุลยิ่งขึ้น และในวันที่ 15 ธันวาคม 2001 หอเอนเมืองปิซาถูกเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมอีกครั้ง และถูกประกาศว่าสมดุลแล้วใน 300 ปีต่อมาหลังจากเริ่มทำการปรับปรุง
ค.ศ.1987 หอเอนเมืองปิซาถูกประกาศให้เป็นมรดกโลก โดยเป็นส่วนหนึ่งของ Piazza Dei Miracoli หอเอนเมืองปิซายังเป็น 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางอีกด้วย

นอกจากนี้หอเอนเมืองปิซานี้ช่วยให้กาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์ ชาวอิตาเลียน ผู้มีชื่อเสียงของโลก ได้ทดลองความจริง เรื่องน้ำหนักของของที่ตกเป็นผลสำเร็จอีกด้วย*


วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

คลีโอพัตรา ที่ 7 ฟิโลปาตอร์


คลีโอพัตรา ที่ 7 ฟิโลปาตอร์ (Κλεοπάτρα θεά φιλοπάτωρ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ คลีโอพัตรา เกิดในเดือนมกราคม 69 ปีก่อนคริสตกาล - เสียชีวิตในวันที่ 30 พฤศจิกายน 30 ปีก่อนคริสตกาล) เป็นราชินีแห่งอียิปต์โบราณ และเป็นสมาชิกคนสุดท้ายของราชวงศ์ปโตเลมีแห่งมาเซโดเนีย ดังนั้น จึงเป็นผู้ปกครองอียิปต์ที่มีเชื้อสายกรีกคนสุดท้าย บิดาของพระนางคือปโตเลมีที่ 12 โอเลเตส และคาดว่าพระมารดาเป็นเชษฐภคินีของโอเลเตส ทรงพระนามว่า คลีโอพัตราที่ 5 ทรีฟาเอนา ชื่อ"คลีโอพัตรา" เป็นภาษากรีก แปลว่า "ความเจริญรุ่งเรืองของบิดา" พระนามเต็มของพระนางคือ "คลีโอพัตรา เธอา ฟิโลปาตอร์" ซึ่งหมายถึง "เทพีคลีโอพัตรา ผู้เป็นที่รักของบิดา" พระนางทรงมีความเฉลียวฉลาดมาก ทรงแตกฉานถึง 14 ภาษา เช่น ภาษาฮิบรู ภาษาละติน ภาษามาซิโดเนีย ภาษาเอธิโอเปียน ภาษาซีเรีย ภาษาเปอร์เซีย ภาษาอียิปต์ ซึ่งแม้แต่ในราชวงศ์ก็น้อยคนนักที่จะแตกฉานในภาษานี้
ในปัจจุบัน คลีโอพัตรา ที่ 7 ฟิโลปาตอร์ นับได้ว่าเป็นผู้ปกครองอียิปต์โบราณที่มีชื่อเสียงมากที่สุด นิยมเรียกพระนามสั้นๆ ว่า คลีโอพัตรา ซึ่งทำให้ราชินีองค์ก่อนๆ ที่ทรงพระนามคล้ายคลึงกับพระนางถูกลืมไปสิ้น จริงๆ แล้วพระนางไม่เคยปกครองอียิปต์ตามลำพัง แต่ครองราชย์ร่วมกับพระบิดา พระอนุชา พระอนุชา - สวามี หรือไม่ก็พระโอรส แต่อย่างไรก็ดี การครองราชย์ร่วมกันดังกล่าวมีผู้ร่วมบัลลังก์เป็นเพียงกษัตริย์ตามพระยศเท่านั้น อำนาจแท้จริงอยู่ในมือของคลีโอพัตราเองทั้งสิ้น
ประวัติ
คลีโอพัตราที่ 7 เป็นชาวกรีกที่กำเนิดในดินแดนอเล็กซานเดรีย ประเทศอียิปต์ ได้ขึ้นครองราชย์หลังจากที่ ปโตเลมีที่ 12 แห่งอียิปต์ ขณะนั้นพระนางเบเนไซน์และแม่ทัพอาร์เชลล์ได้ร่วมกันก่อการกบฏขึ้น ทำให้ฟาโรห์ปโตเลมีที่ 12 ออเลติส ต้องไปขอกำลังเสริมจากสภาซีเนตแห่งกรุงโรม ออกัส กาบิเนียส จึงได้ให้องค์ฟาโรห์จ่ายเงินเป็นจำนวน 10,000 เทลแลนด์ แต่องค์ฟาโรห์มีเงินไม่พอ จึงได้ไปขอยืมเงินจากคหบดีผู้ร่ำรวยนาม ราบีเรียส โพลตูมัส เมื่อได้กำลังเสริมแล้วก็กลับไปอียิปต์เพื่อจัดการกับผู้ก่อการกบฏ และได้สั่งประหารพระนางเบเนไซน์และแม่ทัพอาร์เชลล์ ทำให้ราบีเรียสได้เข้ามาเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายพระคลังของอียิปต์
ราบีเรียสได้รีดไถชาวอียิปต์อย่างหนัก ทำให้ชาวอียิปต์ไม่พอใจลุกฮือกันต่อต้านราบีเรียส ทำให้ราบีเรียสต้องรีบหนีกลับไปยังกรุงโรม เมื่อพระบิดาของพระนางสวรรคตในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปีที่ 51 ก่อนคริสตกาล พระนางเป็นพระราชธิดาองค์โตของออเลติส เมื่อพระเชษฐภคินีอีกสองพระองค์สิ้นพระชนม์ลง พระนางยังมีพระขนิษฐาอีกองค์ที่มีชื่อว่าอาร์สิโนเอ ในช่วงแรกของการขึ้นครองราชย์ พระนางได้ครองราชย์ร่วมกับพระบิดาเป็นระยะเวลาสั้นๆ ต่อมาก็ได้ครองราชย์ร่วมกับพระอนุชาอีกสองพระองค์ ได้แก่ ปโตเลมีที่ 13 ผู้ซึ่งต่อต้านการปกครองของพวกโรมัน และปโตเลมีที่ 14 แต่เนื่องด้วยการสืบราชบัลลังก์ของราชวงศ์ปโตเลมีนั้นนิยมการสืบเชื้อสายทางมารดา พระอนุชาทั้งสองพระองค์จึงต้องเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับพระเชษฐภคินี คือคลีโอพัตรา เพื่อจะสามารถขึ้นครองราชย์ได้อย่างถูกต้องตามกฎมนเทียรบาล ภายหลังจากที่กษัตริย์ผู้เป็นพระอนุชา - สวามีของพระนางสวรรคตลงทั้งสองพระองค์ คลีโอพัตราได้แต่งตั้งให้โอรสของพระนางเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป มีพระนามว่าปโตเลมีที่ 15 ซีซาเรียน โดยการครองบัลลังก์ร่วมกัน ระหว่างปีที่ 44 - 30ก่อนคริสตกาล
ในปีที่48 ก่อนคริสตกาล คณะที่ปรึกษาของปโตเลมีที่ 13 นำโดยขันทีโปธินุส ได้ยึดอำนาจของคลีโอพัตราและบังคับให้พระนางหนีไปจากอียิปต์ โดยมีอาร์สิโนเอ พระขนิษฐาของพระนางติดตามไปด้วย ต่อมาในปีเดียวกันนี้ อำนาจของปโตเลมีที่ 13ได้ถูกริดรอนเมื่อนำตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโรม เมื่อนายพลปอมเปอุส มักนุส (ผู้ซึ่งแต่งงานกับลูกสาวของจูเลียส ซีซาร์ โดยที่นางได้เสียชีวิตขณะคลอดบุตรชาย) ที่กำลังหลบหนีจูเลียส ซีซาร์ ได้มาหาที่หลบซ่อนในเมืองอเล็กซานเดรีย ก็ถูกปโตเลมีที่ 13ปลิดชีพ เพื่อสร้างความดีความชอบแก่ตนให้ซีซาร์ได้เห็น จูเลียส ซีซาร์รู้สึกขยะแขยงกับแผนการอันโสมมดังกล่าว จึงได้ยกทัพบุกเข้ายึดเมืองหลวงของอียิปต์ และตั้งตนเป็นผู้ตัดสินคดีชิงบัลลังก์ระหว่างปโตเลมีที่ 13และคลีโอพัตรา หลังจากการสู้รบช่วงสั้นๆ ปโตเลมีที่ 13ก็ถูกสังหาร และ จูเลียส ซีซาร์ได้คืนบัลลังก์ให้แก่คลีโอพัตรา โดยมีปโตเลมีที่ 14เป็นผู้ครองบัลลังก์ร่วม
จูเลียส ซีซาร์ได้พำนักในอียิปต์ตลอดช่วงฤดูหนาว ระหว่างปีที่48 ก่อนคริสตกาล - 47 ก่อนคริสตกาล และคลีโอพัตราได้สร้างความได้เปรียบทางการเมืองให้แก่ตนด้วยการเป็นคนรักของซีซาร์ ทำให้อียิปต์ยังคงเป็นความเป็นเอกราชไว้ได้ แต่ยังคงมีกองกำลังทหารโรมันสามกองประจำการอยู่ ความสัมพันธ์ระหว่างคลีโอพัตรากับซีซาร์ในช่วงฤดูหนาวได้ทำให้นางตั้งครรภ์และให้กำเนิดพระโอรสชื่อปโตเลมี ซีซาร์ (หรือมีชื่อเล่นว่าซีซาเรียน ซึ่งแปลว่าซีซาร์น้อย) อย่างไรก็ดี จูเลียส ซีซาร์ปฏิเสธการให้ซีซาเรียนเป็นผู้สืบทอดของตน และได้แต่งตั้งให้หลานชายชื่อ ออกุสตุส ซีซาร์ อ็อกตาเวียน เป็นผู้สืบทอดอำนาจแทน
คลีโอพัตรากับซีซาเรียนได้ไปเยือนกรุงโรมในระหว่างปีที่ 46 ก่อนคริสตกาล และ 44 ก่อนคริสตกาล และอยู่ในเหตุการณ์ขณะที่ซีซาร์ถูกลอบสังหาร ก่อนเดินทางกลับถึงอียิปต์เพียงเล็กน้อย ปโตเลมีที่ 14ก็สวรรคตอย่างลึกลับ คลีโอพัตราจึงได้แต่งตั้งให้ซีซาเรียนเป็นผู้ครองบัลลังก์ร่วมกับพระนาง มีการสันนิษฐานว่านางได้ลอบวางยาพิษปโตเลมีที่ 14 ผู้เป็นอนุชาของตนเอง
ในปีที่42 ก่อนคริสตกาล มาร์ค แอนโทนี หนึ่งในคณะผู้สำเร็จราชการชุดที่สองของโรม ผู้ซึ่งปกครองกรุงโรมในช่วงที่เกิดสูญญากาศทางอำนาจ หลังการถึงแก่อสัญกรรมของซีซาร์ ได้ขอให้คลีโอพัตราเดินทางมาพบเขาที่เมืองทาร์ซุส ในแคว้นซิลิเซีย เพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับความจงรักภักดีของพระนางต่ออาณาจักรโรมัน เมื่อคลีโอพัตราเดินทางมาถึง เสน่ห์ของพระนางทำให้มาร์ค แอนโทนีเลือกที่จะใช้เวลาช่วงฤดูหนาวระหว่างปีที่42 ก่อนคริสตกาล - ปีที่41 ก่อนคริสตกาล กับพระนางในอเล็กซานเดรีย ในช่วงฤดูหนาวนั้น พระนางได้ทรงพระครรภ์เป็นโอรส - ธิดาฝาแฝด ผู้มีพระนามว่าอเล็กซานเดอร์ เฮลิออส และ คลีโอพัตรา เซเลเน
สี่ปีต่อมา ในปีที่ 37 ก่อนคริสตกาล มาร์ค แอนโทนี ได้เดินทางเยือนอเล็กซานเดรียอีกครั้ง ระหว่างทางไปออกรบกับจักรวรรดิพาร์เธีย เขาได้สานสัมพันธ์กับคลีโอพัตรา และถือเอาอเล็กซานเดรียเป็นบ้านนับแต่นั้นเป็นต้นมา มาร์ค แอนโทนีอาจจะเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับคลีโอพัตราตามประเพณีอียิปต์ (ตามที่กล่าวไว้ในจดหมายของสุเอโตนิอุส) แต่อย่างไรก็ดี เขาได้แต่งงานแล้วกับอ็อกตาเวีย น้องสาวของเพื่อนชื่ออ็อกตาเวียน หนึ่งในคณะผู้สำเร็จราชการชุดที่สองของโรม เขามีบุตรกับคลีโอพัตราอีกหนึ่งคน ชื่อว่าปโตเลมี ฟิลาเดลฟุส ในพิธีมอบดินแดนอเล็กซานเดรียเป็นของขวัญชิ้นใหญ่แก่คลีโอพัตราและโอรสธิดา ช่วงปลายปีที่ 34 ก่อนคริสตกาล หลังจากที่มาร์ค แอนโทนีได้มีชัยเหนืออาร์เมเนีย คลีโอพัตรากับซีซาเรียนได้ปกครองอียิปต์กับไซปรัสร่วมกัน อเล็กซานเดอร์ เฮลิออส ได้เป็นกษัตริย์ปกครองอาร์เมเนีย เมเดีย และ พาร์เธีย คลีโอพัตรา เซเรเน ได้เป็นราชินีปกครองซีเรไนกา และ ลิเบีย ส่วนปโตเลมี ฟิลาเดลฟุสได้เป็นกษัตริย์ปกครองโฟนิเซีย ซีเรีย และ ซิลิเซีย นอกจากนี้แล้วคลีโอพัตรายังดำรงตำแหน่งราชินีแห่งราชาทั้งปวงอีกด้วย
มีเหตุการณ์อันโด่งดังเกี่ยวกับคลีโอพัตราหลายเหตุการณ์ แต่เรื่องที่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายที่สุดและไม่อาจตรวจสอบได้ว่าจริงหรือไม่ ได้แก่เหตุการณ์เกี่ยวกับพระกระยาหารค่ำของพระนางกับมาร์ค แอนโทนีมื้อหนึ่งที่มีราคาแพงลิบ พระนางได้หยอกเย้ากับมาร์ค แอนโทนีด้วยการพนันกันว่า เขาเชื่อหรือไม่ว่าพระนางจะสามารถใช้เงินสิบล้านเซสเตอร์ซีอุสกับพระกระยาหารมื้อเดียวได้ ซึ่งเขาก็รับพนัน ในคืนต่อมา พระนางได้เสิร์ฟพระกระยาหารค่ำธรรมดาไม่ได้หรูหราอะไร ทำให้พระนางถูกมาร์ค แอนโทนีล้อ แต่พระนางก็ได้รับสั่งให้เสิร์ฟพระกระยาหารสำรับต่อมา ซึ่งมีเพียงน้ำส้มสายชูอย่างแรงหนึ่งถ้วย จากนั้นพระนางก็ถอดต่างหูไข่มุกอันประมาณค่ามิได้ของพระนางออก หย่อนลงไปในน้ำส้มสายชู ปล่อยให้ไข่มุกละลาย แล้วดื่มส่วนผสมนั้น
พฤติกรรมของมาร์ค แอนโทนี นับว่ากระด้างกระเดื่องมากในสายตาของพวกโรมัน อ็อกตาเวียนจึงได้โน้มน้าวให้วุฒิสภาเปิดสงครามกับอียิปต์ ในปีที่ 31 ก่อนคริสตกาล กองกำลังของมาร์ค แอนโทนีได้เผชิญหน้ากับทหารโรมันด้วยทัพเรือนอกชายฝั่งแอคติอุม คลีโอพัตราได้ร่วมออกรบโดยมีทัพเรือของพระนางเอง แต่พระนางก็ได้เห็นกองเรือของมาร์ค แอนโทนี ที่มีเรือขนาดเล็กและขาดแคลนยุทโธปกรณ์ต้องพ่ายแพ้กับกองเรือโรมันที่มีเรือขนาดใหญ่กว่า พระนางต้องหลบหนีและมาร์ค แอนโทนีได้เลิกรบและหนีตามพระนางไป
หลังจากการรบที่อ่าวแอคติอุม อ็อกตาเวียนก็ได้ยกพลขึ้นบกบุกอียิปต์ ในขณะที่ทัพของอ็อกตาเวียนเกือบจะถึงอเล็กซานเดรีย กองกำลังทหารของมาร์ค แอนโทนีก็หนีทัพไปร่วมกับกองกำลังของอ็อกตาเวียน คลีโอพัตรากับมาร์ค แอนโทนีตัดสินใจปลิดชีพตนเองด้วยกันทั้งคู่ โดยที่คลีโอพัตราได้ใช้งูพิษปลิดชีพพระองค์เองเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ในปีที่ 30 ก่อนคริสตกาล ซีซาเรียน โอรสของพระนางที่เกิดกับจูเลียส ซีซาร์ก็ถูกอ็อกตาเวียนปลงพระชนม์ โอรสธิดาอีกสามพระองค์ที่เกิดกับมาร์ค แอนโทนีได้รับการไว้ชีวิตและนำกลับไปยังกรุงโรมโดยอ็อกตาเวีย อดีตภรรยาของมาร์ค แอนโทนี
มักกล่าวกันว่าคลีโอพัตราได้ใช้ แอสพฺ (งูพิษชนิดหนึ่ง) ปลิดชีพพระองค์เอง "asp" เป็นศัพท์เทคนิค หมายถึงงูพิษหลากหลายประเภทในอาฟริกาและยุโรป แต่ในที่นี้ หมายถึงงูเห่าอียิปต์ ซึ่งใช้ในการประหารนักโทษในบางครั้ง ยังมีเรื่องเล่าว่าคลีโอพัตราได้ทดสอบวิธีการฆ่าตัวตายต่างๆนานากับข้าราชบริพารหลายคน ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกวิธีการที่พระนางเห็นว่ามีประสิทธิภาพที่สุด
ด้วยที่เป็นชนเชื้อสายกรีก - มาเซโดเนีย ทั้งในด้านภาษาและวัฒนธรรม คลีโอพัตรามีชื่อเสียงในแง่ที่ว่า ตลอดระยะเวลากว่า 300 ปีที่ราชวงศ์ปโตเลมีปกครองอียิปต์นั้น พระนางเป็นสมาชิกคนแรกของปโตเลมีในที่เรียนรู้ภาษาอียิปต์ได้แตกฉาน และ ยังเรียนรู้ภาษาอื่นๆถึง 14 ภาษา ได้แตกฉาน

วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Mount Rushmore<หุบเขาแบล็คฮิลส์ >


เมาน์ท รัชมอร์ : Mount Rushmore <หุบเขาแบล็คฮิลส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา>
เมาน์ท รัชมอร์ (Mount Rushmore) คือภูเขาส่วนที่เป็นหน้าผาหินใช้เกาะสลักเป็นรูปใบหน้าขนาดใหญ่ของ อดีตประธานาธิบดี 4 คนของอเมริกา ผู้ริเริ่มความคิดที่จะสร้างอนุสาวรีย์ให้กับวีรบุรุษของคนอเมริกัน อีกทั้งยัง เป็นจุดดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาดูผู้นั้นคือ โดนส์ โรบินสัน (Doans Robinson)

โรบินสันได้เชิญปฏิมากรชื่อดังคือ จอห์น กัตซัน บอร์ลัม (John Gutzon Borglum)มาเป็นผู้ดำเนินการ และควบคุมการแกะสลัก งานเริ่มในปี ค.ศ.1924 และเสร็จในปี ค.ศ.1941

ใบหน้าที่แกะสลักไว้เป็นท่านแรกคือ จอร์จ วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกา ท่านนี้เกิดเมื่อปี ค.ศ.1732 ที่รัฐเวอร์จิเนีย และได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี เมื่อปีค.ศ.1779

ท่านที่สองคือ โธมัส เจฟเฟอร์สัน ประธานาธิบดีคนที่สาม เกิดเมื่อปีค.ศ.1743 เจฟเฟอร์สันได้รับเลือกเป็น ประธานาธิบดีถึง 2 สมัยติดกัน

ส่วนท่านที่สามคือ ธีโอดอร์ รูสเวลท์ ประธานาธิบดีคนที่ 26 ผู้ที่ทำให้โครงการขุดคลองปานามาสำเร็จลงได้ในปี ค.ศ.1903

และท่านสุดท้ายคือ อับราฮัม ลินคอล์น ท่านผู้นี้ได้รับเลือกให้เป็นประธานาบดีของอเมริกาเมื่อปีค.ศ.1860 และคนที่16ของประเทศ

งานแกะสลักใบหน้าทั้งสี่เสร็จสิ้นเรียงลำดับตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น คือ ปีค.ศ.1930-1936-1939 และ 1937 โดยโครงการนี้เสร็จ สิ้นจริงๆ ในปีค.ศ.1941 ซึ่งปัจจุบันเครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ในการทำงานครั้งนั้น ก็ยังคงเก็บรักษาและวางแสดง อยู่บริเวณเชิงเขา ให้ประชาชนได้เข้าชมทุกวัน ปกติฤดูร้อนจึงจะมีนักท่องเที่ยวมากันเยอะ เพราะอากาศจะเย็นสบาย

วันพุธที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553

พระกระยาหารมื้อสุดท้าย (เลโอนาร์โด)




พระกระยาหารค่ำมื้อสุดท้าย หรือ The Last Supper ในภาษาอังกฤษ และ Il cenacolo หรือ L'ultima cena ในภาษาอิตาลี เป็นจิตรกรรมฝาผนัง ที่วาดโดยเลโอนาร์โด ดา วินชี ให้แก่ผู้อุปถัมภ์ดยุค โลโดวิโค สฟอร์ซา (Lodovico Sforza) เป็นภาพที่มาจากพระกระยาหารค่ำมื้อสุดท้ายของพระเยซู ก่อนที่พระองค์จะทรงถูกนำไปตรึงกางเขนซึ่งเป็นข้อมูลที่มาจากคัมภีร์ไบเบิ้ล ภาพวาดนี้ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ เนื่องจากถูกวาดด้วยปูนเปียกบนผนัง ภาพวาดนี้ยังถือว่าเป็นภาพวาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของเลโอนาร์โด ดา วินชี ที่ยังคงสภาพให้มองเห็นได้ในปัจจุบัน และยังถือได้ว่าเป็นหนึ่งในบรรดาจิตรกรรมที่รู้จักกันอยู่ทั่วโลก

ภาพวาดนี้ยังเป็นแกนสำคัญของการเดินเรื่องราวของนวนิยายชื่อดังของโลก รหัสลับดาวินชี ที่มีเนื้อหาระบุว่า เลโอนาร์โด ดา วินชี ได้แฝงปริศนาความลับไว้ในภาพโดยแสดงถึงสาวกหญิงใกล้ชิดผู้หนึ่งซึ่งมีสัมพันธ์กับพระเยซู ซึ่งเนื้อหาดังกล่าวได้รับการคัดค้านจากศาสนาจักรคาทอลิกอย่างรุนแรง


คำอธิบายภาพ


ภาพพระกระยาหารค่ำมื้อสุดท้าย เป็นภาพที่บรรยายถึงช่วงเวลาสำคัญที่สุดช่วงหนึ่ง คือเมื่อพระเยซูได้ทำนายว่า หนึ่งในผู้ร่วมโต๊ะอาหารมื้อนั้นจะทรยศพระองค์

ที่มุมขวาสุดจากขวามาซ้ายคือ นักบุญซิโมเน นักบุญยูดา ทัดเดโอ คนที่ห้าจากทางขวามือที่ยกมือขึ้นด้วยความประหลาดใจ คือนักบุญเจมส์ ถัดมาคือนักบุญฟิลิปโป ที่ยกมือแสดงอาการตกใจเช่นกันและยืนยันถึงความบริสุทธิ์ของตน นักบุญเปียโตร (คนที่ห้าจากทางซ้ายมือ) มองลงด้านหน้าทันทีในขณะที่ยูดาผงะถอยไปด้วยความรู้สึกผิด ตรงกลางสุดคือพระเยซู

ยังมีภาพพระกระยาหารค่ำมื้อสุดท้ายของ เลโอนาร์โด ดา วินชี ที่ถูกเลียนแบบขึ้นในที่ต่างๆ ได้แก่
Chiesa Minorita ที่ เวียนนา
พิพิธภัณฑ์ ดา วินชี ในโบสถ์ Tongerlo ของเบลเยียม
โบสถ์ท้องถิ่นที่ Ponte Capriasca ใกล้ๆ ลูกาโน

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

น้ำตกอีกวาซู (Iguazu Falls)


น้ำตกอีกวาซู (Iguazu Falls) คำว่าอีกวาซู แปลว่า "สายน้ำอันยิ่งใหญ่" เป็นคำมาจากภาษากวารานี (Guarani)ชาวอินเดียนแดงเผ่าดั้งเดิม น้ำตกอีกวาซูตั้งอยู่บริเวณรอยต่อพรมแดนระหว่างประเทศบราซิลกับประเทศอาร์เจนตินา เป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้[1] และขึ้นชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลก[ต้องการอ้างอิง] โดยใหญ่กว่าน้ำตกไนแอการาประมาณ 30 เท่า อย่างไรก็ตามขนาดของน้ำตกใกล้เคียงกับน้ำตกวิกตอเรียในทวีปแอฟริกา

น้ำตกอีกวาซูเกิดจากแม่น้ำอีกวาซูซึ่งไหลมาจากที่ราบสูงปารานา ตกจากขอบที่ราบสูงขนาดใหญ่ลงสู่พื้นที่ราบต่ำกว่า จึงกลายเป็นน้ำตกขนาดใหญ่เป็นแนวยาวกว่า 4 กิโลเมตร สูงกว่า 269 ฟุต ประกอบด้วยน้ำตกน้อยใหญ่อีก 275 แห่ง ในช่วงฤดูฝนระหว่างเดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนมีนาคมปริมาณน้ำมีมากถึงกว่า 13.6 ล้านลิตรต่อวินาที แต่ในช่วงฤดูร้อน คือระหว่างเมษายนถึงเดือนตุลาคม ปริมาณน้ำจะลดลงเหลือ 2.3 ล้านลิตรต่อวินาที บริเวณรอบ ๆ น้ำตกจะเกิดละอองน้ำอยู่ตลอดเวลาและมีเสียงดังไปไกลกว่า 24 กิโลเมตร บนฝั่งประเทศบราซิลจะมองเห็นน้ำตกได้ทั่วถึงและงดงาม แต่ทางฝั่งประเทศอาร์เจนตินาสามารถเข้าชมน้ำตกได้ใกล้กว่า

เกาะโบรา โบร่า....เกาะที่ทะเลมีความงดงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก


เกาะโบรา โบร่า...
เกาะ "โบรา โบร่า" เป็นเกาะหนึ่งในหมู่เกาะตาฮิติเป็นทะเลที่สวยที่สุดในโลก ตาฮิติ เป็นหมู่เกาะในเขตแปซิฟิกใต้ ค้นพบครั้งแรกไร่เรี่ยกันระหว่างชาวอังกฤษ และฝรั่งเศส ซึ่งทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสต่างก็พยายามช่วงชิงเข้าอยู่ในการปกครองของตัวเอง จนกระทั่งเกือบร้อยปีที่แล้วจึงได้ชื่อว่า French-Polynesiaตาฮิติ ขึ้นชื่อทางด้านทรัพยากรทางทะเลที่เอื่อเฟื้อให้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ด้าน การท่องเที่ยวตลอดมาจนได้ชื่อว่า "ราชินีแห่งหมู่เกาะทะเลใต้" ที่นี่ตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิค

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

วันรัฐวิสาหกิจไทย

คณะรัฐมนตรีมีมติให้วันที่ ๒๐ กันยายน ของทุกปีเป็น “วันรัฐวิสาหกิจไทย” จากการประชุมคณะรัฐมนตรี ได้มีมติลงวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๔๔ กำหนดให้วันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราช รัชกาลที่ ๕ คือ วันที่ ๒๐ กันยายนของทุกปีเป็นวันรัฐวิสาหกิจไทย

วันพิพิธภัณฑ์ไทย

ในราวคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ – ๑๗ ทางด้านซีกโลกตะวันตก ได้มีการตื่นตัวในด้านการเก็บรวบรวม และสะสมทรัพย์สมบัติ และมรดกต่างๆ ทั้งที่เป็นวัตถุ สิ่งของมีค่า สิ่งเก่าแก่ ที่หายากและแปลกๆ เพื่อเป็นหลักฐานทางมรดกวัฒนธรรมของชาติอันเป็นการแสดงถึงความเป็นใหญ่และความมั่งคง ของเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่เด่นชัด

วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ดอกมะลิ

ดอกมะลิ เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ ก็เนื่องจาก ดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์ ส่งกลิ่นหอมไปไกลและหอมได้นาน อีกทั้งยังออกดอกได้ตลอดทั้งปี เปรียบได้กับ ความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูกไม่มีวันเสื่อมคลาย…



วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ขนมเค้กฝรั่งเศส







วนิลาโชเฟ่ล


วนิลาโชเฟ่ล คล้ายๆครีมวนิลาซอสกับแป้งหอมๆเป็นขนมฝรั่งเศส

ไวท์ช็อคโกแลตทานกับไอศครีมคุ้กกี้และมิลค์ช็อคโกแลต

ไวท์ช็อคโกแลตทานกับไอศครีมคุ้กกี้และมิลค์ช็อคโกแลต ด้านในมิลค์ช็อคโกแลต เป็นไวท์ช็อคโกแลตเย็นสอดไส้ผลไม้เรียกว่ารูบาร์บ ออกเปรี้ยวๆ ตัดกับรสหวานของช็อคโลต

Clairefontaine Orange Grand Marnier

Clairefontaine Orange Grand Marnier ชิ้นนี้เป็นบาวาเรี้ยนครีมส้ม มีกลิ่นของเหล้า Grand Marnier นิดๆ ผสมกับแยมส้ม เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมรสส้ม รสชาติเปรี้ยว น่าจะถูกใจคุณสาวๆ Religieuse Cafe เป็นแป้ง Chou คล้ายกับเอแคลร์ มีจุดเด่นที่ความนุ่มทั้งนอกและในที่สอดไส้ครีมคัสตาร์ดรสกาแฟ Douceur Noisette ช็อกโกแลตที่สลับชั้นกับ ช็อกโกแลตมูส, เฮเซลนัทบิสกิต และมิลค์ช็อกโกแลตวิปปิ้งครีม ทั้งกรอบ ทั้งเข้มข้น

ขนม Madeleine

ขนม Madeleine เป็นขนมพื้นบ้านเหมือนคุ้กกี้ของคนฝรั่งเศส นิยมทานคู่กับกาแฟเหมือนขนม Macaron แต่ขนม Madeleine ราคาถูกกว่า ทำเองได้ง่าย คนจึงนิยมทานมากกว่าสำหรับคนฝรั่งเศส ขนม Madeleine ทานได้ทุกๆวัน ในขณะที่ Macaron จะทานกันเฉพาะในวาระพิเศษ

พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 เมื่อทรงเป็นเจ้าชายแห่งเวลส์ (2)

พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 เมื่อยังทรงพระเยาว์ทรงยืนข้างพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 พระราชบิดา พระราชมารดาสมเด็จพระราชินีเฮนเรียตตา มาเรียทรงอุ้มดยุคแห่งยอร์ค พระอนุชา
พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 เมื่อทรงเป็นเจ้าชายแห่งเวลส์โดย วิลเลียม ดอบสัน (William Dobson) ราว ค.ศ.1642 หรือ ค.ศ.1643 พระเจ้าชาร์ลส์ สจ๊วตพระราชโอรสองค์โตของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 แห่งสกอตแลนด์และไอร์แลนด์และสมเด็จพระราชินีเฮนเรียตตา มาเรีย เสด็จพระราชสมภพที่พระราชวังเซนต์เจมส์ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ.1630 และทรงรับศีลจุ่มที่ชาเปลรอยัลเมื่อวันที่ 27 มิถุนายนโดยบาทหลวงอังกลิคันวิลเลียม ลอด ผู้ขณะนั้นเป็นบาทหลวงแห่งลอนดอน ทรงได้รับการเลี้ยงดูโดยแมรี แซ็ควิลล์ เคานเทสแห่งดอร์เซ็ท (Mary Sackville, Countess of Dorset) ผู้เป็นโปรเตสแตนต์ แต่ก็ทรงมีพ่อแม่ทูนหัวที่เป็นโรมันคาทอลิกที่เป็นพระประยูรญาติทางพระมารดา ซึ่งรวมทั้งพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 แห่งฝรั่งเศสและพระราชมารดาของพระเจ้าหลุยส์ พระพันปีมารี เดอ เมดิชิ พระองค์ทรงได้รับตำแหน่งดยุคแห่งคอร์นวอลล์และดยุคแห่งรอธเซย์ (Duke of Rothesay) เมื่อประสูติ
ในฐานะที่ทรงเป็นพระราชโอรสองค์โตของพระมหากษัตริย์ เมื่อมีพระชนมายุได้ 8 พรรษาก็ทรงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นเจ้าชายแห่งเวลส์ แต่มิได้มีพิธีแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ ระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1640 เมื่อยังทรงพระเยาว์ พระราชบิดาทรงต่อสู้กับกองทัพของฝ่ายรัฐสภา และกลุ่มเพียวริตันในสงครามกลางเมืองอังกฤษ เจ้าชายชาร์ลส์ทรงติดตามพระราชบิดาในยุทธการเอ็ดจฮิลล์ เมื่อมีพระชนมายุได้ 14 พรรษา ก็ทรงเข้าร่วมในการรณรงค์ใน ค.ศ.1645 และทรงได้รับแต่งตั้งแต่ในนามให้เป็นผู้บังคับบัญชาทหารแห่งเวสต์คันทรี ในฤดูใบไม้ผลิของปี ค.ศ.1646 พระราชบิดาก็พ่ายแพ้สงคราม เจ้าชายชาร์ลส์จึงเสด็จหนีจากอังกฤษเพื่อความปลอดภัย โดยเสด็จไปหมู่เกาะซิลลีย์ ก่อนที่จะเสด็จต่อไปเจอร์ซีย์ และในที่สุดก็ไปถึงฝรั่งเศสเพื่อไปสมทบกับพระราชมารดา ประทับลี้ภัยอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว พร้อมกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศสผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของพระองค์ซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุได้ 8 พรรษา
ในปี ค.ศ.1648 ระหว่างสงครามกลางเมืองอังกฤษครั้งที่ 2 เจ้าชายชาร์ลส์ก็ทรงย้ายไปเฮกในเนเธอร์แลนด์ไปประทับกับพระพระเชษฐภคินีเจ้าหญิงแมรีและพระสวามีวิลเลียมที่ 2 เจ้าชายแห่งออเรนจ์ เพราะทรงเชื่อว่าทั้งสองพระองค์อาจจะทรงสนับสนุนฝ่ายนิยมกษัตริย์มากกว่าพระญาติทางฝรั่งเศส
เมื่อทรงพยายามยกกองทัพไปช่วยพระราชบิดา แต่กองทัพภายใต้การนำของพระองค์ไปถึงสกอตแลนด์ไม่ทันที่จะสมทบกับกองกำลัง “Engagers” ที่สนับสนุนพระราชบิดาที่นำโดยเจมส์ แฮมมิลตัน ดยุคแห่งแฮมมิลตันที่ 1 ก่อนที่จะพ่ายแพ้ในยุทธการเพรสตันในปี ค.ศ. 1648
ระหว่างที่ประทับอยู่ที่กรุงเฮก เจ้าชายชาร์ลส์ทรงมีความสัมพันธ์กับ ลูซิ วอลเตอร์ (Lucy Walter) อยู่พักหนึ่งผู้ต่อมาถึงกับอ้างว่าได้เจ้าชายชาร์ลส์ทรงแต่งงานอย่างลับๆ ด้วย ทรงมีพระโอรสกับลูซิ วอลเตอร์คนหนึ่งคือเจมส์ ครอฟต์ส ต่อมาเป็นเจมส์ สกอตต์ ดยุคแห่งมอนม็อธที่ 1 ผู้ต่อมากลายมามีบทบาทสำคัญในทางการเมืองของอังกฤษ
พระราชบิดาของพระองค์พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ทรงถูกจับกุมในปี ค.ศ. 1647 ทรงหลบหนีจากการคุมขังได้ แต่ก็มาทรงถูกจับอีกครั้งหนึ่งในปี ค.ศ.1648 แม้ว่าเจ้าชายชาร์ลส์จะทรงพยายามหาทางช่วยทางการทูตในการปลดปล่อยพระองค์แต่ก็ไม่สำเร็จ
ในที่สุดพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ก็ทรงถูกปลงพระชนม์ในข้อหากบฏต่อแผ่นดินเมื่อวันอังคารที่ 30 มกราคม ค.ศ.1649 หลังจากนั้นอังกฤษก็เข้าสู่สมัยสาธารณรัฐ

เวียนนา เมืองแสนสวยถิ่นกำเนิดเพลงวอลทซ์

“เมืองหลวงแห่งดนตรี บ้านเกิดของคีตกวีของโลก และตำนานอันยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรออสโตร-ฮังกาเรียน เจ้าของแม่น้ำดานูบอันเลื่องชื่อ หลังคาทองที่โด่งดัง และอ้อมกอดภูเขาแสนโรแมนติก” ผมนึกถึงข้อความในหนังสือคู่มือแนะนำการเดินทางประเทศออสเตรีย เครื่องบินเดินทางถึงสนามบินกรุงเวียนนา เวลา 05.45 น. หลังจากที่รับกระเป๋าสัมภาระ รวมทั้งทำธุระส่วนตัวเสร็จแเราเริ่มออกเที่ยวเลยทันทีเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เวลาที่ออสเตรียช้ากว่าเมืองไทยเรา 5 ชั่วโมง ทำให้เราได้เปรียบในเรื่องของเวลา สถานที่แรกไปเที่ยวคือ พระราชวัง Belvedare ป็นพระราชวังที่มีปีกสมมาตรกัน สร้างขึ้นระหว่าง ค.ศ. 1714-1723 ให้กับเจ้าชายยูจีน ซึ่งมีคนกล่าวขานกันว่ามีความเป็นอยู่ดีกว่าจักรพรรดิเสียอีก เจ้าชายยูจีน ท่านเป็นนักรบที่เก่งมาก จะไม่เก่งได้ยังไง เวลาไปรบ หากใครถอยพระองค์ฆ่าทิ้งเลย เจ้าชายยูจีนทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดสามารถรบชนะได้ดินแดนฮังการี ปัจจุบันพระราชวังดังกล่าวใช้เป็นพิพิธภัณฑ์
ประเทศออสเตรีย หรือเรียกว่า สาธารณออสเตรีย ประชาชนกว่า 90% นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก และอีก 6% นับถือนิกายโปรแตสแตนท์ ซึ่งในอดีตเคยมีสงครามศาสนายาวนานถึง 30 ปี การต่อต้านการปฏิรูปทางศาสนาก่อให้เกิดศิลปะบาโรก ว่ากันว่ากรุงเวียนนาคือเมืองหลวงแห่งศิลปะบาโรกของยุโรปกลาง ดูได้จากโบสถ์พระเยซูอิต เคียร์เดอ อัม โฮฟ ที่สร้างตามโบสถ์เยซูอิตในโรม ดังนั้น สถาปัตยกรรมบาโรกจะสังเกตุได้จากโบสถ์ในเมืองเวียนนา หากเดินไปย่านใจกลางเมืองเก่า เส้นถนน Rotenturmstr จะพบกับมหาวิหารเซนต์สเตฟาน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเวียนนา สร้างแล้วเสร็จใน ค.ศ. 1435 โบสถ์นี้มีการปฏิรูปคู่เคียงกับการปฏิรูปศาสนามีการเปลี่ยนแปลงศิลปะกอทิกมาเป็นบาโรก บริเวณใกล้กับวิหารเซนต์สเตฟานเป็นถนนคนเดิน มีร้านค้าขายของมากมาย จะมีการตั้งโต๊ะและเก้าอี้ตามทางเท้า หรือ กลางถนน ทำให้ได้รสชาติของกาแฟและเค้กมันช่างแสนอร่อยถึงแม้ว่าราคาจะแพงก็ตาม และเมื่อมาถึงถนน Schubertring Park-ring คือสวนสาธารณะ Stadtpark เป็นสวนเขียวขจีที่เต็มไปด้วยรูปปั้นครึ่งตัว ที่โดดเด่นที่สุดรูปเต็มตัวของ Johann Strauss ราชาเพลงวอลทซ์ ที่โด่งดัง
เราออกมานอกเมืองเก่า เพื่อไปพระราชวัง Schonbrunn ซึ่งสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ.1696 โดยพยายามเลียนแบบพระราชวังแวร์ซายส์ในขนาดที่เล็กกว่า และเมื่อปี 1740 พระนางมาเรียเทราซา ขึ้นเถลิงถวัลย์ขึ้นเป็นจักรพรรดินี พระนางมีรับสั่งให้สร้างใหม่มีห้องพักนิดหน่อยแค่ 1,441 ห้องแค่นั้นเอง พระราชวังแห่งนี้เป็นสถานที่เกิดเหตุสำคัญต่างๆ ในประวัติศาสตร์ออสเตรียมากมาย พูดถึงความเป็นมาของกฎหมายแพรกมาทิก แซงก์ชั่น ตอนที่พระเจ้าคาร์ลอยู่ในวัย 28 ชันษาก็ทรงกลัดกลุ้มพระทัยที่ไม่มีโอรสสืบบัลลังก์ เพราะไม่มีกฎหมายที่จะยินยอมให้ธิดาสืบทอดได้ จนในปี ค.ศ. 1713 จึงอาศัยช่องโหว่ของกฎหมายที่ให้พระองค์ออกกฎหมายโดยไม่ต้องรอความเห็นชอบจากสภาไดเอท เมื่อครั้งยังทรงเป็นเจ้าหญิงมาเรียเทราซาวัย 15 ชันษา พระเจ้าคาร์ลทรงเห็นว่า มาเรีย เทเรซา ควรจะอภิเษกกับ เจ้าชายเฟรดเดอรริค มกุฎราชกุมาร ปรัสเซีย กลับยืนกรานที่จะแต่งงานกับฟรานซ์ ซเตฟาน ทายาทแห่งรัฐลอร์เรน และทรงเป็นนัดดาของผู้บัญชาการที่ปิดล้อมเวียนนา ดังนั้นฝรั่งเศสจึงใช้กฏหมายแพรกมาทิน แซงก์ชั่นเรียกร้องให้เจ้าบ่าวสละรัฐลอร์เรนให้กับฝรั่งเศษ ในประวัติศาสตร์เขียนว่า พระองค์ทรงหยิบปากกาถึงสามครั้งสามครา จนถูกถากถางว่า ไม่สละราชสมบัติ ก็ไม่มีเจ้าหญิง จึงจำยอมด้วยความจำใจ และในปี ค.ศ. 1736 ทั้งคู่ได้อภิเษกสมรสกัน และเหตุจากกฎหมายแพรกมาทิก แซงก์ชั่นทำให้พระองค์ต้องเข้าสู่สงครามแห่งความหายนะถึงสองครั้งสองคราว ขณะที่พระนางมาเรีย เทราซาได้กำเนิดโอรสที่ทรงพระครรภ์ในช่วงที่ขึ้นครองราชย์ ปี ค.ศ.1740 เป็นจักรพรรดินี พระนางได้เดินทางพร้อมพระโอรสเพื่อหาทางผลักดันผู้รุกรานซิเลเซีลทั้งจากบาวาเรียและฝรั่งเศส ด้วยการวิงวอนขอความช่วยเหลือจากฮังการี ซึ่งพระนางสามารถริบมงกุฎจักรพรรดิแห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมาได้ แต่ก็ไม่ได้ซิเลเซียคืน ครั้นจะเอามงกุฎไว้เองคงไม่เหมาะ จงยกให้พระสวามีในปี ค.ศ.1745 ซึ่งต่อมาอีก 19 ปี โอรสโยเซฟที่ 2 ได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งโรมมันอันศักดิ์สิทธิ์

นอกเรื่องไปไกลเลย กลับเข้ามาเที่ยวภายในพระราชวัง Schonbrunn จุดเด่นของพระราชวังนี้ ได้แก่ ห้องกระจกโวล์ฟกัง อมาเดอุส โมซาร์ท หนูน้อยอัจฉริยะ เกิดที่เมืองชาลช์บูร์ก ไม่น่าเชื่อว่าโมซาร์ทจะเกิดมาทัน เพราะโมซาร์ทเกิดในปี ค.ศ. 1756 ห้องจีนสีฟ้าที่สะท้อนศิลปโรโกโก้ ตกแต่งด้วยศิลปะจีน ที่น่าทึ่งคือ ผ้าไหมทอมือจากจีน ที่เอามาประดับในห้อง สวยงามมาก ทำให้รู้ว่าในสมัยนั้น นิยมนำเข้าของจากจีน โดยเฉพาะผ้าไหม กระเบื้อง ต้นส้ม รวมทั้งการลงรักปิดทอง ถือว่าเป็นของทันสมัยมาก แต่ในห้องถัดไปมีภาพที่ชอบมากที่สุดคือภาพวาดผู้ชายไม่ทราบว่าเป็นใคร ที่เท้าซ้ายจะชี้ตามเราตลอดเลย ไม่ว่าเราจะอยู่มุมไหนของห้อง ภาพวาดส่วนใหญ่จะเน้นที่พระนางมาเรีย เทเรซาเป็นหลัก เพราะทุกคนในภาพจะไม่มีใครเด่นเกินพระนางเลย และภาพปูนเปียกบนเพดานที่วาดยกย่องวราชวงศ์ฮัมบูร์ก และลอร์เรน แต่ส่วนที่วิจิตรที่สุดคือ พระราชอุทานที่มีทั้งน้ำพุเทพเนปจูน ปูชนียสถานแบบโรมัน และอนุสรณ์กลอรีทเทอ สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองที่สามารถต้านการรุกชองเฟรดเดอริคมหาราชได้ ปลายอุทยานมีพัลเมนเฉาส์ที่เพียบพร้อมด้วยเหล็กดัดและกระจก รวมทั้ง สวนสัตว์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ที่ยังคงรักษากรงขังสัตว์ป่าลักษณะศิลปะบาโรกฝีมือของฟราน ซเตฟานใว้ในอุทยาน

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เกาะสมุย

เกาะสมุย เดิมเกาะสมุยมีชื่อเสียงในฐานะเป็นแหล่งปลูกมะพร้าว ปัจจุบันเป็นสถานที่พักผ่อนตากอากาศที่ชาวต่างประเทศนิยมเดินทางมาท่อง เที่ยว มีร้านค้า โรงแรม และสถานบันเทิงต่าง ๆ มากมาย หาดที่เป็นที่เชิดหน้าชูตาของคนเกาะสมุย คือ หาดเฉวง บริเวณชายหาดยาวประมาณ 7 กิโลเมตร ถ้าได้ลงมือเดินตั้งแต่ต้นหาดจนกระทั่งถึงปลายหาดจะใช้เวลาประมาณถึง 2 ชั่วโมง เพราะการเดินบนผืนทรายไม่เหมือนการเดินบนพื้นดินปรกติ หาดที่มีความสวยงามเป็นอันดับรองลงมา คือ หาดละไม หาดเชิงมนต์ แหลมโจรคร่ำ หาดท้องยาง หาดหน้าทอน หาดพังกา และหาดตลิ่งงาม นอกจากธรรมชาติที่สวยงามของอำเภอเกาะสมุยแล้ว ยังมีกิจกรรมอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก คือ “สปา” หรือการดูแลรักษาสุขภาพโดยการใช้น้ำบำบัด เช่น การอาบ-การแช่น้ำแร่หรือน้ำร้อน

อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์

อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่อำเภอดอยหล่อ อำเภอจอมทองและอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ประกอบไปด้วยภูเขาสูงสลับซับซ้อน มีดอยอินทนนท์ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทยในวันที 13 เดือนมิถุนายน พุทธศักราช 2521 คณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ได้ประกาศให้ดอยอินทนนท์เป็นอุทยานแห่งชาติ

หาดป่าตอง

หาดป่าตอง อยู่ห่างจากตัวเมืองภูเก็ตไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ 15 กิโลเมตร นับว่าเป็น สถาน ที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย หาดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของภูเก็ต เป็นชายหาด สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย ที่เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น โรงแรม ร้านอาหาร ร้านดำน้ำ ร้านขายอุปกรณ์กีฬาทางน้ำ และอื่น ๆ อีกมากมาย ไว้คอยบริการแก่นักท่องเที่ยว ด้วยชายหาดที่มีความยาวกว่า 4 กิโลเมตร และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ป่าตองจึงเป็น สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย ที่มีผู้นิยมมาเยือนมากที่สุด หาด ป่าตองถูกถล่มโดยคลื่นสึนามิในเหตุการณ์แผ่นดินไหวในมหาสมุทรอินเดีย เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547ปัจจุบัน หาดป่าตองเป็นหนึ่งในชายหาดสำคัญที่ได้รับการติดตั้งระบบเตือนภัยสึนามิ มีการซักซ้อมการอพยพและการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวอยู่อย่างสม่ำเสมอ เป็นระยะๆ

เกาะพีพี

สถานที่ตั้ง ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ (ห่างจากชายฝั่งกระบี่ประมาณ ๔๒ กิโลเมตร )

สิ่งดึงดูดใจ หมู่เกาะพีพีได้รับการจัดอันดับเป็นสถานที่เที่ยวที่สวยงาม ๑ ใน ๑๐ ของโลก ประกอบด้วยเกาะ ๖ เกาะ คือ เกาะพีพีดอน เกาะพีพีเล เกาะบิด๊ะนอก เกาะบิด๊ะใน เกาะยุง และเกาะไผ่ ลักษณะโดยทั่วไปเป็นเวิ้งอ่าวรูปครึ่งวงกลมมีหาดทรายและทะเลอยู่ในวงล้อมของภูเขาหินปูนที่สูงชัน

บนเกาะพีพีเลมีภาพเขียนสีสมัยประวัติศาสตร์ รูปช้าง รูปเรือต่างๆ เช่น เรือไวกิ้ง เรือยุโรป เรืออาหรับ เรือสำเภา เรือกำปั่น เรือใบใช้กังหัน และเรือกลไฟ ฯลฯ สันนิษฐานว่าเป็นฝีมือของนักเดินเรือหรือ โจรสลัด เดิมชาวบ้านเรียกว่า " ถ้ำไวกิ้ง" ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ทรงพระราชทานนามว่า " ถ้ำพญานาค" ตามรูปร่างหินก้อนหนึ่งคล้ายเศียรพญานาค

สิ่งอำนวยความสะดวกบนเกาะพีพี บนเกาะพีพีดอนจะมีบังกาโล ร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึก สำหรับต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกระดับ มีเรือสำหรับบริการนักท่องเที่ยวที่มีความประสงค์จะดำน้ำดูปะการัง และนั่งเรือชมธรรมชาติบริเวณรอบเกาะและหมู่บ้านใกล้เคียง

เส้นทางเข้าสู่เกาะพีพี สามารถลงเรือได้ที่ท่าเรือเจ้าฟ้า จังหวัดกระบี่ หรือติดต่อผ่านบริษัทนำเที่ยวในจังหวัดกระบี่ และภูเก็ต

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

สยามพารากอน

สยามพารากอน (Siam Paragon) เป็นห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพมหานคร และนับเป็นห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของประเทศไทย
สยามพารากอนสร้างขึ้นบริเวณโรงแรมสยามอินเตอร์คอนติเนนตัลเดิม (เจ้าของที่ดินคือสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์) ตั้งอยู่ที่ถนนพระรามที่ 1 ติดกับวังสระปทุม เป็นการลงทุนร่วมกันระหว่างกลุ่มเดอะมอลล์ และ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอาคารศูนย์การค้าเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2548

สยามพารากอนเป็นอาคารสูง 8 ชั้น ตัวอาคารจะใช้แก้วตกแต่งเป็นหลัก มีลิฟต์แก้วที่ใช้กระจกทั้งหมดเป็นแห่งแรกของประเทศ(ปัจจุบันได้มีอีกที่หนึ่งคือ เซ็นทรัลเวิลด์) มีจำนวนลิฟต์ทั้งหมด 26 ตัว แบ่งเป็นลิฟต์แก้วแบบใช้กระจกทั้งหมด 2 ตัว ตั้งอยู่ที่โซน The Jewel (ฝั่งติดกับสยามเซนเตอร์) ลิฟต์แก้วแบบธรรมดา 2 ตัว ตั้งอยู่ที่โซน Star Dome (ฝั่งติดกับวัดปทุมวนาราม) และลิฟต์ธรรมดา 22 ตัว บันไดเลื่อน 85 ตัว ทางเลื่อน 4 ตัว มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 500,000 ตารางเมตร และใช้เงินลงทุนมากกว่า 15,000 ล้านบาท

เซ็นทรัลเวิลด์

เซ็นทรัลเวิลด์ เดิมชื่อ เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ เป็นโครงการศูนย์การค้า โรงแรม และอาคารสำนักงาน ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ถนนราชดำริ ตัดกับถนนพระราม 1 เป็นศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของอาเซียน รองจาก เอส.เอ็ม. ซิตี้ นอร์ธ อี.ดี.เอส.เอ. (SM City North EDSA) ของประเทศฟิลิปปินส์ และมีพื้นที่ขายมากเป็นอันดับสามของโลก [1] อาคารหลักส่วนที่เป็นตัวห้างสรรพสินค้าของเซ็นทรัลเวิลด์ถูกเผาทำลายเป็นบางส่วนโดยกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เกรเกอร์ เมนเดล

เกรเกอร์ เมนเดล (พ.ศ. 2365-พ.ศ. 2427) บิดาทางพันธุศาสตร์ เกิดที่เมืองไฮน์เซนดรอฟ ประเทศออสเตรีย เป็นบุตรชายคนเดียวในจำนวนพี่น้อง 3 คน ของครอบครัวชาวนาที่ยากจน โดยต่อมา เมนเดลได้ไปบวชแล้วได้รับตำแหน่งรับผิดชอบดูแลสวน ในปี พ.ศ. 2390
บิดาทางพันธุศาสตร์
โยฮันน์ เกรกอร์ เมนเดล เกิดในปี ค.ศ.1822 เป็นบาทหลวงชาวออสเตรีย และในขณะเดียวกันเขาก็เป็นอาจารย์สอนหนังสือให้แก่นักเรียน สอนนักเรียน ถึงเรื่องพันธุ์กรรมด้วย เมนเดลมีความสนใจศึกษาด้านวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะ ด้านพันธุศาสตร์ เขาได้ใช้สถานที่ภายในบริเวณวัดเพื่อทำการทดลองสิ่งต่างๆ ที่เขาสนใจ เมนเดลเริ่มต้นทดลองเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ.1856 เรื่องที่เขาทำการทดลองคือ การรวบรวมต้นถั่วหลายๆพันธุ์นำมาผสมกันหลายๆวิธีเขาใช้เวลาทดลองต่อเนื่องถึง 7 ปี จนได้ข้อมูลมากเพียงพอ ในปี ค.ศ.1865 เมนเดล จึงได้ รายงานผลการทดลอง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการผสมพันธุ์ ต้นถั่ว ให้แก่ที่ประชุม Natural History Society ในกรุงบรุนน์ ( Brunn ) ผลงานของเขาได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ออกไปทั่วทวีปยุโรปและ อเมริกาในปีต่อมาคือปี ค.ศ.1866 ผลงานของเขาถูกปล่อยไว้นานถึง 34 ปี จนกระทั่งปี ค.ศ.1900 ได้มีนัก ชีววิทยา 3 ท่าน คือ ฮูโก เดอฟรีส์ ชาวฮอลันดา คาร์ล คอร์เรนส์ ชาวเยอรมันและ เอริช ฟอน แชร์มาค ชาวออสเตรเลีย ได้ทดลองผสมพันธุ์พืชชนิดอื่นๆ และได้ผลการทดลองตรงกับที่เมนเดลเคยรายงานไว้ ทำให้เมนเดลเป็นที่รู้จัก ในวงการพันธุศาสตร์นับแต่นั้นเป็นต้นมา
เขาได้รับการ สถาปนาสมณศักดิ์เป็นเจ้าอาวาสประจำโบสถ์ที่ Alt Brünn ภาระงานบริหารได้ทำให้เขาไม่มีเวลาทำการทดลองเรื่องการ ผสมพันธุ์พืชอีกเลย จนกระทั่งเขาเสียชีวิตลงในปี ค.ศ.1884 ขณะมีอายุได้ 61 ปี ด้วยโรคหัวใจวาย ศพของเขาได้ถูกนำ ไปฝังที่สุสานใกล้โบสถ์ ในพิธีศพมีสานุศิษย์และชาวบ้านที่ได้เดินทางมาไว้อาลัยนักบวชคนหนึ่ง ซึ่งได้อุทิศชีวิตให้ทานแก่ผู้ยากไร้ แต่ไม่มีใครเลยจะรู้สักนิดว่า พวกเขากำลังร่ำลาอาลัยนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลก

การวิพากษ์วิจารณ์
จากข้อมูลดิบที่เมนเดลได้ตีพิมพ์นั้น ก่อนจะมาสรุปเป็นกฎได้นั้น ปัจจุบันมีผู้ตั้งข้อโตแย้งว่าตัวเลขที่ได้จากการทดลองของเมนเดลใกล้เคียงกับค่าทางทฤษฎีเกินไปจนเป็นที่น่าสงสัย ทั้งนี้อาจเกิดจากความบังเอิญหรือเป็นความจงใจของเมนเดลเองก็ได้
อย่างไรก็ตามการค้นพบของเมนเดลถือว่าเป็นการค้นพบยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในวงการพันธุศาสตร์ เนื่องจากเมนเดลสามารถไขความลับการสืบทอดลักษณะทางพันธุกรรมต่างๆ จากบรรพบุรุษไปสู่ลูกหลานโดยที่ในสมัยนั้นยังไม่มีการค้นพบสารพันธุกรรม ดีเอ็นเอ ยีน หรือ โครโมโซมแต่อย่างใด

วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ทะเลแหวก

ทะเลแหวก หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยว Unseen Thailand อีกที่หนึ่งของจังหวัดกระบี่ เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจาก อิทธิพลของ น้ำขึ้นและน้ำลง ทำให้สันทรายของเกาะทั้ง 3 คือ เกาะทับ เกาะหม้อ และ เกาะไก่ ปรากฏขึ้น เมื่อน้ำลด นักท่องเที่ยวสามารถเดินเล่น ไป - มา ได้ระหว่างเกาะ โดยส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะเดินทางมาถ่ายรูปกันเพื่อเป็น ที่ระลึก และเล่นน้ำทะเล เนื่องจากบริเวณนี้ น้ำทะเลจะใส สามารถมองเห็นฝูงปลาสวยงามตัวเล็กๆ นักท่องเที่ยว ที่จะเดินทางมาเพื่อชมปรากฏการณ์ ทะเลแหวกนี้ ควรจะเดินทางมาในช่วง เวลาที่น้ำทะเลลงต่ำสุด ในแต่ละวัน โดยเฉพาะในวันก่อน และหลังวันขึ้น 15 ค่ำ ราว 5 วัน

ทิเบต

ทิเบต ตั้งอยู่ในใจกลางของทวีปเอเชียระหว่างประเทศจีนกับอินเดีย ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 2.5 ล้านตารางกิโลเมตร ในบริเวณที่มีภูเขาและที่ราบสูงที่สุดในโลก มีอากาศแห้งและหนาวเย็น รวมทั้งที่ราบกลางหุบเขาริมแม่น้ำอันกว้างใหญ่หลายสาย อันเป็นที่พำนักพิงของชาวธิเบต ผู้ซึ่งมีวัฒนธรรมประเพณีเป็นของตนเอง มาเป็นเวลาช้านาน และมีชีวิตความเป็นอยู่แตกต่างจากผู้คนในประเทศเพื่อนบ้าน ชาวธิเบตได้มีการพัฒนาทางวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์ในตนเอง ทั้งยังมีการพัฒนาด้านสติปัญญาและจิตใจ ได้แก่ การมีภาษาที่โดดเด่น มีวรรณกรรมอันยิ่งใหญ่ และมีผลงานศิลปะที่น่ามหัศจรรย์ นอกจากนี้ อารยธรรมของชาวธิเบต ซึ่งสืบเนื่องมาเป็นเวลาหลายพันปีนั้น ยังเป็นอารยธรรมที่สูงส่ง และมีคุณค่าสืบทอดต่อกันมา เป็นมรดกของมนุษยชาติ

เขื่อนแก่งกระจาน

เขื่อนแก่งกระจาน เป็นเขื่อนดินกั้นแม่น้ำเพชรบุรี ที่บริเวณเขาเจ้า และเขาไม้รวกประชิดกับ ตำบลแก่งกระจาน อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี อยู่ทางด้านเหนือน้ำ ของเขื่อนเพชรขึ้นไปตามถนน 27 กิโลเมตร สันเขื่อนยาว 760 เมตร กว้าง 8 เมตร สูง 58 เมตร ระดับสันเขื่อน 106 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ฐานตอนที่กว้างที่สุด 250 เมตร สร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2509 เป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ

เขื่อนแก่งกระจาน อยู่ห่างจากตัวเมืองเพชรบุรี 53 กิโลเมตร และห่างจากอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน 3 กิโลเมตร เดินทางตามเส้นทางเดียวกับอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน

ท่องเที่ยวสัตหีบ ชมเรือจักรีนฤเบศร

ความเป็นมา ของเรือลำนี้สืบเนื่องมาเมื่อปี พ.ศ 2532 ได้เกิดพายุไต้ฝุ่ยเกย์ ขึ้นในอ่าวไทยจากเหตุ การณ์ในครั้งนั้นทำให้ประชาชนและชาวประมงที่ประสบเหตุหรือผู้ที่อยู่อาศัยใกล้พื้นที่ต้องบาดเจ็บล้ม ตายเป็นจำนวนมากทั้งในด้านต่างๆอันได้แก่ การคมนาคม การสื่อสาร ต้องถูกตัดขาดลงอย่างสิ้นเชิง กองทัพเรือในฐานะหน่วยกำลังทางทะเล ได้ใช้ความสามารถต่างๆอาทิเช่นกองกำลังทางทะเล และ เครื่องบิน ถึงกระนั้นยังไม่สามารถต้านทานต่อสภาพเลวร้ายทางทะเลในครั้งนั้นได้ และนี่คือแนวคิดใน การจัดหาเรือขนาดใหญ่พร้อมเฮลิคอปเตอร์หรือ อากาศยานที่มีลักษณะเด่นเพื่อใช้ในการช่วยเหลือ และค้นหาผู้ประสบภัยทางทะเลได้ดี อีกทั้งประเทศไทยเราประกาศเขตเศรษฐกิจจำเพาะออกไปอีก 200 ไมล์ทะเล ดังนั้นยังมีภารกิจอีกอย่างคือ ปกป้องผลประโยชน์ของชาติทางทะเลอีกทางหนึ่งด้วย

อนุมัติสร้าง คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2535 อนุมัติให้กองทัพเรือว่าจ้างสร้างเรือ บรรทุกเฮลิคอปเตอร์ ลักษณะรัฐบาลต่อรัฐบาลจำนวน 1 ลำจากบริษัทบาซาน ประเทศสเปนวงเงิน ประมาณ 7,100 ล้านบาท และในวันพิธีปล่อยเรือลงน้ำ นั้นนับเป็นมหามงคลต่อกองทัพเรือที่ สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ทรงกรุณาเสด็จเป็นองค์ประธาน สมเด็จพระราชินีโซเฟีย แห่ง ประเทศสเปนทรงเสด็จร่วมในพิธีปล่อยเรือลงน้ำ ที่อู่บาซาน เมืองเฟโรล ในวันที่ 20 มกราคม 2539

ภารกิจของ ร.ล จักรีนฤเบศร ในยามสงบ อันได้แก่คอยปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติในทะเลได้แก่เส้นทางคมนาคม และทรัพยากรธรรมชาติ ของชาติ และช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทะเลสามารถค้นหาและเป็นฐานปฎิบัติการณ์ลอยน้ำให้กับหน่วยงานต่างๆได้ และยังสามารถเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ที่คอยช่วยเหลือในกรณีประสบภัยอีกด้วย อีกทั้งสามารถอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ด้วย เฮลิคอปเตอร์ประจำเรือและ คอยควบคุมรักษาสิ่งแวดล้อมในทะเล ส่วนในยามสงคราม เรือจักรีนฤเบศร ก็จะมีหน้าที่ควบคุมและบัญชาการกองเรือในทะเล และปราบเรือดำน้ำและสนับสนุนการปฎิบัติการทางทหารอีกด้วย

ลักษณะทั่วไปของเรือ ความยาวตลอดลำ 182.6 เมตรหรือประมาณสนามฟุตบอล 2 สนามต่อกัน กินน้ำลึกที่ระวางขับน้ำสูงสุด 6.12 เมตรหรือ สูงเท่าสะพานลอยคนข้าม ระวางขับน้ำสูงสุด 11,485.5 เมตริกตันเครื่องยนต์ดีเซล MTU จำนวน 2 เครื่องๆละ 5,516 แรงม้าเครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์ 2 เครื่องๆละ 22,117 แรงม้า ความเร็วสูงสุดที่ 48 กิโลเมตรต่อชั่วโมงความเร็วเดินทาง 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอากาศยานประจำเรืออันได้แก่ เครื่องบิน ขึ้น-ลง แนวดิ่ง แบบ AV-8S ( SEA HARRIER ) จำนวน 9 เครื่อง เฮลิคอปเตอร์แบบ S-70B-7 ( SEA HAWK ) จำนวน 6 เครื่อง กำลังพลประจำเรือ 601 นาย

กําแพงเมืองจีน

กําแพงเมืองจีน---สิ่งก่อสร้างในสมัยโบราณของจีนที่มีชื่อเลื่องลือไปทั่วโลกนั้น ตอนที่มีความสําคัญทางยุทธศาสตร์ตอนหนึ่งชื่อว่า "ปาต๋าหลิ่ง" อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงปักกิ่ง ห่างจากตัวเมืองกรุงปักกิ่งประมาณ ๘๐ กิโลเมตร

กําแพงเมืองจีนมีความยาวทั้งหมด ๖๗๐๐ กิโลเมตร กําแพงเมืองจีนเริ่มสร้างในสมัยจ้านกว๋อ เวลานั้น ก๊กเยี่ยน ก๊กจ้าวและก๊กฉินในภาคเหนือของจีนต่างได้สร้างกําแพงของตนขึ้นในที่ที่มีความสําคัญทางยุทธศาสตร์เพื่อป้องกันการบุกรุกของก๊กใกล้เคียงและเผ่าชนเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ทางเหนือหลังจากจักรพรรดิฉินสื่อหวงรวมประเทศจีนเข้าเป็นเอกภาพเมื่อ ๒๒๑ปีก่อนคศ. ก็ได้เชื่อมต่อกําแพงที่ก๊กต่าง ๆ สร้างไว้เข้าด้วยกันและสร้างต่อเติมขึ้นอีก ครั้นถึงสมัยราชวงศ์ฮั่น ราชวงศ์ถัง ราชวงศ์สุย ราชวงศ์หยวนและราชวงศ์หมิงก็ได้ซ่อมแซมและสร้างเติมเสริมต่อเรื่อยมา กําแพงเมืองจีนในทุกวันนี้ส่วนใหญ่สร้างขึ้นใหม่ในสมัยราชวงศ์หมิง การก่อสร้างกําแพงที่มีความยาวถึง ๖๐๐๐ กว่ากิโลเมตร บางแห่งยังต้องสร้างบนภูเขาทั้งสูงชันและสลับซับซ้อนอยู่เหนือระดับนํ้าทะเล ๑๐๐๐ กว่าเมตรในสมัยที่การลําเลียงขนส่ง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียังไม่เจริญนั้นจะลําบากยากเข็ญเพียงไร ก็ด้วยเหตุนี้เอง กําแพงเมืองจีนจึงได้ชื่อว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ชิ้นหนึ่งในสถาปัตยกรรมของโลก

กําแพงเมืองจีนประกอบด้วยด่าน กําแพง ป้อมรักษาการณ์และหอคอยจุดเพลิงสัญญาณ ด่านตั้งอยู่ตรงจุดสําคัญในเส้นทางคมนาคม

มีกําแพงหลายชั้น มีทหารประจํารักษาอยู่เป็นจํานวนมากซึ่งเป็นที่ตั้งกองบัญชาการทหาร ด่านจียงกวานที่ปาต๋าหลิ่งเป็นด่านสําคัญแห่งหนึ่งของกําแพงเมืองจีน กําแพงเมืองจีนโดยเฉลี่ยสูง ๗---๘ เมตร กว้าง ๕---๖ เมตร สันกําแพงด้านนอกมีเชิงเทินรูปฟันปลาเป็นที่กําบังตัว ข้าง ๆ เชิงเทินมีช่องมอง ใต้เชิงเทินมีช่องยิงลูกศร โดยทั่วไปบนที่สูงหรือบนยอดเขานอกกําแพง สร้างหอคอยสําหรับจุดเพลิงสัญญาณไว้เป็นระยะ ๆ ซึ่งเป็นสถานีส่งสัญญาณแจ้งเหตุทางทหารในสมัยโบราณแต่ละหอคอยรับส่งสัญญาณกันเป็นทอด ๆ จนถึงเมืองหลวงหรือเขตป้องกันเมืองเขตใหญ่ ประกอบเป็นโครงข่าวสื่อสารอันสมบูรณ์ ถ้าเกิดมีข้าศึกมากลางวันก็สุมควัน มากลางคืนก็จุดไฟเป็นสัญญาณ กําแพงเมืองจีนในทุกวันนี้ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ดึงดูดใจทั้งชาวจีนและชาวต่างประเทศ

วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

10 สถานที่แปลก ๆ ที่ไม่คิดว่ามีในโลก

1. เดอะเวฟ (The Wave) ที่รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา
เดอะเวฟ คือ ภูเขาหินทรายที่ฟอร์มตัวในลักษณะคล้ายคลื่นลาดชัน เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 190 ล้านปีก่อนหรือในยุคจูราสสิก เนื่องจากพื้นที่แถบนี้มีความเปราะบางมาก ทางการจึงจำกัดให้เข้าชมได้เพียงวันละไม่เกิน 20 คน และต้องเดินเท้าเข้าไปเกือบ 5 ก.ม. จึงจะถึงดินแดนมหัศจรรย์แห่งนี้

2. Tessellated Pavement บนเกาะแทสเมเนีย (รัฐหนึ่งในประเทศออสเตรเลีย)

นี่คือภาพลานหินตะกอนบริเวณชายฝั่งที่ Eaglehawk Neck บนเกาะแทสมาเนีย ซึ่งถ้าหากมองเผินๆ จะแลดูคล้ายมีใครนำแผ่นกระเบื้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่มาวางเรียงรายริมทะเล (บริเวณขอบสี่เหลี่ยมที่เราเห็นเป็นแนวเส้นตรงนั้น เกิดจากแรงตึงเครียดของผิวโลก ผนวกกับการกัดเซาะอย่างต่อเนื่องของคลื่นและแรงเสียดสีของทราย)

3. หินรูปทรงประหลาด ในทะเลทรายขาว (White Desert) ประเทศอียิปต์
ทะเลทรายแห่งนี้ตั้งอยู่ใน Farafra Oasis มีลักษณะเป็นสีขาวและครีม ประกอบด้วยกลุ่มหินชอล์ครูปทรงประหลาดขนาดใหญ่มากมาย อันเป็นผลงานของพายุทรายที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว

4. บ่อน้ำพุร้อนสีเลือด (Blood Pond Hot Spring) ที่เบปปุ ประเทศญี่ปุ่น
น้ำพุร้อนสีเลือด (Chinoike Jigoku) เป็นหนึ่งในบ่อน้ำพุร้อนชื่อดังของเมืองเบปปุ ในจังหวัดโออิตะ บนเกาะคิวชู สาเหตุที่น้ำพุมีสีเลือดเนื่องจากมีธาตุเหล็กอยู่ในปริมาณมากนั่นเอง

5. Giant's Causeway ที่ไอร์แลนด์เหนือ
Giant's Causeway เป็นชายฝั่งที่เกิดจากการเย็นตัวของหินภูเขาไฟเมื่อประมาณ 50,000 ถึง 60,000 ปีที่ผ่านมา ก่อให้เกิดหินรูปหกเหลี่ยมและหินแท่งสี่เหลี่ยมกว่า 40,000 แท่ง องค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียน Giant´s Causeway เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1986 (พ.ศ. 2529)

6. ทะเลเกลือ (salt flats) ที่ Salar de Uyuni ประเทศโบลิเวีย
จริงๆ แล้วที่ราบเกลือหรือทะเลเกลือลักษณะนี้มีอยู่หลายแห่งด้วยกัน แต่ทะเลเกลือที่ Salar de Uyuni ของประเทศโบลิเวียนั้น มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลมากถึง 10,582 ตารางกิโลเมตร

7. ป่าหิน (Stone Forest) เมืองคุนหมิง มลฑลยูนาน ประเทศจีน
อุทยานป่าหิน (Shilin National Park) ในเมืองคุนหมิง จัดเป็นป่าหินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีพื้นที่มากถึง 350 ตารางกิโลเมตร แต่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมเพียง 12 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น เดิมทีหินปูนเหล่านี้อยู่ใต้ผิวโลก แต่ภายหลังได้ถูกดันขึ้นมาในลักษณะเดียวกับหินงอก เชื่อกันว่าป่าหินแห่งนี้มีอายุราว 270 ล้านปีเลยทีเดียว

8. ธารน้ำแข็ง Taylor ใน McMurdo Dry Valleys ที่แอนตาร์คติกา (ขั้วโลกใต้)
ธารน้ำแข็งอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ มีพื้นที่ส่วนหนึ่งที่โดดเด่นเป็นสีแดงส้ม ตัดกับน้ำแข็งส่วนอื่นๆ ซึ่งมีสีขาวโพลน เนื่องจากพื้นที่แถบนั้นเต็มไปด้วยออกไซด์ของเหล็ก (iron oxide) ซึ่งก็คือ "สนิม" นั่นเอง ด้วยเหตุนี้บริเวณดังกล่าวจึงได้รับการขนานนามตามลักษณะทางกายภาพว่า "น้ำตกเลือด" (Blood Falls)

9. ทะเลสาบสปอท เลค (Spotted Lake) – ประเทศแคนาดา
“สปอท เลค” ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในทะเลสาบที่มีแร่ธาตุชนิดต่างๆ อาทิ แมกนีเซียม ซัลเฟต, แคลเซียม และโซเดียม ซัลเฟต ในปริมาณเข้มข้นมากที่สุดในโลก แต่น่าเสียดายที่ทะเลสาบแห่งนี้อยู่ในที่ดินของเอกชน นักท่องเที่ยวจึงทำได้แค่มองจากราวรั้วกั้นริมถนนเท่านั้น (ส่วนที่เป็นจุดๆ คือน้ำ นอกนั้นเป็นส่วนของแร่ธาตุนานาชนิด ที่สามารถลงไปเดินสำรวจได้)

10. ทะเลทรายแบล็ค ร็อค (Black Rock Desert) ที่รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา
ทะเลทรายแบล็คร็อค คือ ก้นทะเลสาบที่แห้งสนิท ครั้งหนึ่งดินแดนแถบนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของทะเลสาบในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ที่มีชื่อว่า "Lahontan" ซึ่งปรากฏอยู่ในสมัย 18,000-7,000 พันปีก่อนคริสตกาล ในช่วงที่ทะเลสาบโบราณแห่งนี้มีระดับน้ำสูงสุด (เมื่อประมาณ 12,700 ปีก่อน) ทะเลทรายแบล็คร็อคเคยอยู่ใต้น้ำที่มีความลึกถึง 150 เมตรเลยทีเดียว