วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553
ดอกมะลิ
ดอกมะลิ เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ ก็เนื่องจาก ดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์ ส่งกลิ่นหอมไปไกลและหอมได้นาน อีกทั้งยังออกดอกได้ตลอดทั้งปี เปรียบได้กับ ความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูกไม่มีวันเสื่อมคลาย…
วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553
ไวท์ช็อคโกแลตทานกับไอศครีมคุ้กกี้และมิลค์ช็อคโกแลต
Clairefontaine Orange Grand Marnier
Clairefontaine Orange Grand Marnier ชิ้นนี้เป็นบาวาเรี้ยนครีมส้ม มีกลิ่นของเหล้า Grand Marnier นิดๆ ผสมกับแยมส้ม เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมรสส้ม รสชาติเปรี้ยว น่าจะถูกใจคุณสาวๆ Religieuse Cafe เป็นแป้ง Chou คล้ายกับเอแคลร์ มีจุดเด่นที่ความนุ่มทั้งนอกและในที่สอดไส้ครีมคัสตาร์ดรสกาแฟ Douceur Noisette ช็อกโกแลตที่สลับชั้นกับ ช็อกโกแลตมูส, เฮเซลนัทบิสกิต และมิลค์ช็อกโกแลตวิปปิ้งครีม ทั้งกรอบ ทั้งเข้มข้น
ขนม Madeleine
พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 เมื่อทรงเป็นเจ้าชายแห่งเวลส์ (2)
พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 เมื่อยังทรงพระเยาว์ทรงยืนข้างพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 พระราชบิดา พระราชมารดาสมเด็จพระราชินีเฮนเรียตตา มาเรียทรงอุ้มดยุคแห่งยอร์ค พระอนุชา
พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 เมื่อทรงเป็นเจ้าชายแห่งเวลส์โดย วิลเลียม ดอบสัน (William Dobson) ราว ค.ศ.1642 หรือ ค.ศ.1643 พระเจ้าชาร์ลส์ สจ๊วตพระราชโอรสองค์โตของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 แห่งสกอตแลนด์และไอร์แลนด์และสมเด็จพระราชินีเฮนเรียตตา มาเรีย เสด็จพระราชสมภพที่พระราชวังเซนต์เจมส์ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ.1630 และทรงรับศีลจุ่มที่ชาเปลรอยัลเมื่อวันที่ 27 มิถุนายนโดยบาทหลวงอังกลิคันวิลเลียม ลอด ผู้ขณะนั้นเป็นบาทหลวงแห่งลอนดอน ทรงได้รับการเลี้ยงดูโดยแมรี แซ็ควิลล์ เคานเทสแห่งดอร์เซ็ท (Mary Sackville, Countess of Dorset) ผู้เป็นโปรเตสแตนต์ แต่ก็ทรงมีพ่อแม่ทูนหัวที่เป็นโรมันคาทอลิกที่เป็นพระประยูรญาติทางพระมารดา ซึ่งรวมทั้งพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 แห่งฝรั่งเศสและพระราชมารดาของพระเจ้าหลุยส์ พระพันปีมารี เดอ เมดิชิ พระองค์ทรงได้รับตำแหน่งดยุคแห่งคอร์นวอลล์และดยุคแห่งรอธเซย์ (Duke of Rothesay) เมื่อประสูติ
ในฐานะที่ทรงเป็นพระราชโอรสองค์โตของพระมหากษัตริย์ เมื่อมีพระชนมายุได้ 8 พรรษาก็ทรงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นเจ้าชายแห่งเวลส์ แต่มิได้มีพิธีแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ ระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1640 เมื่อยังทรงพระเยาว์ พระราชบิดาทรงต่อสู้กับกองทัพของฝ่ายรัฐสภา และกลุ่มเพียวริตันในสงครามกลางเมืองอังกฤษ เจ้าชายชาร์ลส์ทรงติดตามพระราชบิดาในยุทธการเอ็ดจฮิลล์ เมื่อมีพระชนมายุได้ 14 พรรษา ก็ทรงเข้าร่วมในการรณรงค์ใน ค.ศ.1645 และทรงได้รับแต่งตั้งแต่ในนามให้เป็นผู้บังคับบัญชาทหารแห่งเวสต์คันทรี ในฤดูใบไม้ผลิของปี ค.ศ.1646 พระราชบิดาก็พ่ายแพ้สงคราม เจ้าชายชาร์ลส์จึงเสด็จหนีจากอังกฤษเพื่อความปลอดภัย โดยเสด็จไปหมู่เกาะซิลลีย์ ก่อนที่จะเสด็จต่อไปเจอร์ซีย์ และในที่สุดก็ไปถึงฝรั่งเศสเพื่อไปสมทบกับพระราชมารดา ประทับลี้ภัยอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว พร้อมกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศสผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของพระองค์ซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุได้ 8 พรรษา
ในปี ค.ศ.1648 ระหว่างสงครามกลางเมืองอังกฤษครั้งที่ 2 เจ้าชายชาร์ลส์ก็ทรงย้ายไปเฮกในเนเธอร์แลนด์ไปประทับกับพระพระเชษฐภคินีเจ้าหญิงแมรีและพระสวามีวิลเลียมที่ 2 เจ้าชายแห่งออเรนจ์ เพราะทรงเชื่อว่าทั้งสองพระองค์อาจจะทรงสนับสนุนฝ่ายนิยมกษัตริย์มากกว่าพระญาติทางฝรั่งเศส
เมื่อทรงพยายามยกกองทัพไปช่วยพระราชบิดา แต่กองทัพภายใต้การนำของพระองค์ไปถึงสกอตแลนด์ไม่ทันที่จะสมทบกับกองกำลัง “Engagers” ที่สนับสนุนพระราชบิดาที่นำโดยเจมส์ แฮมมิลตัน ดยุคแห่งแฮมมิลตันที่ 1 ก่อนที่จะพ่ายแพ้ในยุทธการเพรสตันในปี ค.ศ. 1648
ระหว่างที่ประทับอยู่ที่กรุงเฮก เจ้าชายชาร์ลส์ทรงมีความสัมพันธ์กับ ลูซิ วอลเตอร์ (Lucy Walter) อยู่พักหนึ่งผู้ต่อมาถึงกับอ้างว่าได้เจ้าชายชาร์ลส์ทรงแต่งงานอย่างลับๆ ด้วย ทรงมีพระโอรสกับลูซิ วอลเตอร์คนหนึ่งคือเจมส์ ครอฟต์ส ต่อมาเป็นเจมส์ สกอตต์ ดยุคแห่งมอนม็อธที่ 1 ผู้ต่อมากลายมามีบทบาทสำคัญในทางการเมืองของอังกฤษ
พระราชบิดาของพระองค์พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ทรงถูกจับกุมในปี ค.ศ. 1647 ทรงหลบหนีจากการคุมขังได้ แต่ก็มาทรงถูกจับอีกครั้งหนึ่งในปี ค.ศ.1648 แม้ว่าเจ้าชายชาร์ลส์จะทรงพยายามหาทางช่วยทางการทูตในการปลดปล่อยพระองค์แต่ก็ไม่สำเร็จ
เวียนนา เมืองแสนสวยถิ่นกำเนิดเพลงวอลทซ์
“เมืองหลวงแห่งดนตรี บ้านเกิดของคีตกวีของโลก และตำนานอันยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรออสโตร-ฮังกาเรียน เจ้าของแม่น้ำดานูบอันเลื่องชื่อ หลังคาทองที่โด่งดัง และอ้อมกอดภูเขาแสนโรแมนติก” ผมนึกถึงข้อความในหนังสือคู่มือแนะนำการเดินทางประเทศออสเตรีย เครื่องบินเดินทางถึงสนามบินกรุงเวียนนา เวลา 05.45 น. หลังจากที่รับกระเป๋าสัมภาระ รวมทั้งทำธุระส่วนตัวเสร็จแเราเริ่มออกเที่ยวเลยทันทีเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เวลาที่ออสเตรียช้ากว่าเมืองไทยเรา 5 ชั่วโมง ทำให้เราได้เปรียบในเรื่องของเวลา สถานที่แรกไปเที่ยวคือ พระราชวัง Belvedare ป็นพระราชวังที่มีปีกสมมาตรกัน สร้างขึ้นระหว่าง ค.ศ. 1714-1723 ให้กับเจ้าชายยูจีน ซึ่งมีคนกล่าวขานกันว่ามีความเป็นอยู่ดีกว่าจักรพรรดิเสียอีก เจ้าชายยูจีน ท่านเป็นนักรบที่เก่งมาก จะไม่เก่งได้ยังไง เวลาไปรบ หากใครถอยพระองค์ฆ่าทิ้งเลย เจ้าชายยูจีนทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดสามารถรบชนะได้ดินแดนฮังการี ปัจจุบันพระราชวังดังกล่าวใช้เป็นพิพิธภัณฑ์
ประเทศออสเตรีย หรือเรียกว่า สาธารณออสเตรีย ประชาชนกว่า 90% นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก และอีก 6% นับถือนิกายโปรแตสแตนท์ ซึ่งในอดีตเคยมีสงครามศาสนายาวนานถึง 30 ปี การต่อต้านการปฏิรูปทางศาสนาก่อให้เกิดศิลปะบาโรก ว่ากันว่ากรุงเวียนนาคือเมืองหลวงแห่งศิลปะบาโรกของยุโรปกลาง ดูได้จากโบสถ์พระเยซูอิต เคียร์เดอ อัม โฮฟ ที่สร้างตามโบสถ์เยซูอิตในโรม ดังนั้น สถาปัตยกรรมบาโรกจะสังเกตุได้จากโบสถ์ในเมืองเวียนนา หากเดินไปย่านใจกลางเมืองเก่า เส้นถนน Rotenturmstr จะพบกับมหาวิหารเซนต์สเตฟาน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเวียนนา สร้างแล้วเสร็จใน ค.ศ. 1435 โบสถ์นี้มีการปฏิรูปคู่เคียงกับการปฏิรูปศาสนามีการเปลี่ยนแปลงศิลปะกอทิกมาเป็นบาโรก บริเวณใกล้กับวิหารเซนต์สเตฟานเป็นถนนคนเดิน มีร้านค้าขายของมากมาย จะมีการตั้งโต๊ะและเก้าอี้ตามทางเท้า หรือ กลางถนน ทำให้ได้รสชาติของกาแฟและเค้กมันช่างแสนอร่อยถึงแม้ว่าราคาจะแพงก็ตาม และเมื่อมาถึงถนน Schubertring Park-ring คือสวนสาธารณะ Stadtpark เป็นสวนเขียวขจีที่เต็มไปด้วยรูปปั้นครึ่งตัว ที่โดดเด่นที่สุดรูปเต็มตัวของ Johann Strauss ราชาเพลงวอลทซ์ ที่โด่งดัง
เราออกมานอกเมืองเก่า เพื่อไปพระราชวัง Schonbrunn ซึ่งสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ.1696 โดยพยายามเลียนแบบพระราชวังแวร์ซายส์ในขนาดที่เล็กกว่า และเมื่อปี 1740 พระนางมาเรียเทราซา ขึ้นเถลิงถวัลย์ขึ้นเป็นจักรพรรดินี พระนางมีรับสั่งให้สร้างใหม่มีห้องพักนิดหน่อยแค่ 1,441 ห้องแค่นั้นเอง พระราชวังแห่งนี้เป็นสถานที่เกิดเหตุสำคัญต่างๆ ในประวัติศาสตร์ออสเตรียมากมาย พูดถึงความเป็นมาของกฎหมายแพรกมาทิก แซงก์ชั่น ตอนที่พระเจ้าคาร์ลอยู่ในวัย 28 ชันษาก็ทรงกลัดกลุ้มพระทัยที่ไม่มีโอรสสืบบัลลังก์ เพราะไม่มีกฎหมายที่จะยินยอมให้ธิดาสืบทอดได้ จนในปี ค.ศ. 1713 จึงอาศัยช่องโหว่ของกฎหมายที่ให้พระองค์ออกกฎหมายโดยไม่ต้องรอความเห็นชอบจากสภาไดเอท เมื่อครั้งยังทรงเป็นเจ้าหญิงมาเรียเทราซาวัย 15 ชันษา พระเจ้าคาร์ลทรงเห็นว่า มาเรีย เทเรซา ควรจะอภิเษกกับ เจ้าชายเฟรดเดอรริค มกุฎราชกุมาร ปรัสเซีย กลับยืนกรานที่จะแต่งงานกับฟรานซ์ ซเตฟาน ทายาทแห่งรัฐลอร์เรน และทรงเป็นนัดดาของผู้บัญชาการที่ปิดล้อมเวียนนา ดังนั้นฝรั่งเศสจึงใช้กฏหมายแพรกมาทิน แซงก์ชั่นเรียกร้องให้เจ้าบ่าวสละรัฐลอร์เรนให้กับฝรั่งเศษ ในประวัติศาสตร์เขียนว่า พระองค์ทรงหยิบปากกาถึงสามครั้งสามครา จนถูกถากถางว่า ไม่สละราชสมบัติ ก็ไม่มีเจ้าหญิง จึงจำยอมด้วยความจำใจ และในปี ค.ศ. 1736 ทั้งคู่ได้อภิเษกสมรสกัน และเหตุจากกฎหมายแพรกมาทิก แซงก์ชั่นทำให้พระองค์ต้องเข้าสู่สงครามแห่งความหายนะถึงสองครั้งสองคราว ขณะที่พระนางมาเรีย เทราซาได้กำเนิดโอรสที่ทรงพระครรภ์ในช่วงที่ขึ้นครองราชย์ ปี ค.ศ.1740 เป็นจักรพรรดินี พระนางได้เดินทางพร้อมพระโอรสเพื่อหาทางผลักดันผู้รุกรานซิเลเซีลทั้งจากบาวาเรียและฝรั่งเศส ด้วยการวิงวอนขอความช่วยเหลือจากฮังการี ซึ่งพระนางสามารถริบมงกุฎจักรพรรดิแห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมาได้ แต่ก็ไม่ได้ซิเลเซียคืน ครั้นจะเอามงกุฎไว้เองคงไม่เหมาะ จงยกให้พระสวามีในปี ค.ศ.1745 ซึ่งต่อมาอีก 19 ปี โอรสโยเซฟที่ 2 ได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งโรมมันอันศักดิ์สิทธิ์
นอกเรื่องไปไกลเลย กลับเข้ามาเที่ยวภายในพระราชวัง Schonbrunn จุดเด่นของพระราชวังนี้ ได้แก่ ห้องกระจกโวล์ฟกัง อมาเดอุส โมซาร์ท หนูน้อยอัจฉริยะ เกิดที่เมืองชาลช์บูร์ก ไม่น่าเชื่อว่าโมซาร์ทจะเกิดมาทัน เพราะโมซาร์ทเกิดในปี ค.ศ. 1756 ห้องจีนสีฟ้าที่สะท้อนศิลปโรโกโก้ ตกแต่งด้วยศิลปะจีน ที่น่าทึ่งคือ ผ้าไหมทอมือจากจีน ที่เอามาประดับในห้อง สวยงามมาก ทำให้รู้ว่าในสมัยนั้น นิยมนำเข้าของจากจีน โดยเฉพาะผ้าไหม กระเบื้อง ต้นส้ม รวมทั้งการลงรักปิดทอง ถือว่าเป็นของทันสมัยมาก แต่ในห้องถัดไปมีภาพที่ชอบมากที่สุดคือภาพวาดผู้ชายไม่ทราบว่าเป็นใคร ที่เท้าซ้ายจะชี้ตามเราตลอดเลย ไม่ว่าเราจะอยู่มุมไหนของห้อง ภาพวาดส่วนใหญ่จะเน้นที่พระนางมาเรีย เทเรซาเป็นหลัก เพราะทุกคนในภาพจะไม่มีใครเด่นเกินพระนางเลย และภาพปูนเปียกบนเพดานที่วาดยกย่องวราชวงศ์ฮัมบูร์ก และลอร์เรน แต่ส่วนที่วิจิตรที่สุดคือ พระราชอุทานที่มีทั้งน้ำพุเทพเนปจูน ปูชนียสถานแบบโรมัน และอนุสรณ์กลอรีทเทอ สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองที่สามารถต้านการรุกชองเฟรดเดอริคมหาราชได้ ปลายอุทยานมีพัลเมนเฉาส์ที่เพียบพร้อมด้วยเหล็กดัดและกระจก รวมทั้ง สวนสัตว์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ที่ยังคงรักษากรงขังสัตว์ป่าลักษณะศิลปะบาโรกฝีมือของฟราน ซเตฟานใว้ในอุทยาน
เราออกมานอกเมืองเก่า เพื่อไปพระราชวัง Schonbrunn ซึ่งสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ.1696 โดยพยายามเลียนแบบพระราชวังแวร์ซายส์ในขนาดที่เล็กกว่า และเมื่อปี 1740 พระนางมาเรียเทราซา ขึ้นเถลิงถวัลย์ขึ้นเป็นจักรพรรดินี พระนางมีรับสั่งให้สร้างใหม่มีห้องพักนิดหน่อยแค่ 1,441 ห้องแค่นั้นเอง พระราชวังแห่งนี้เป็นสถานที่เกิดเหตุสำคัญต่างๆ ในประวัติศาสตร์ออสเตรียมากมาย พูดถึงความเป็นมาของกฎหมายแพรกมาทิก แซงก์ชั่น ตอนที่พระเจ้าคาร์ลอยู่ในวัย 28 ชันษาก็ทรงกลัดกลุ้มพระทัยที่ไม่มีโอรสสืบบัลลังก์ เพราะไม่มีกฎหมายที่จะยินยอมให้ธิดาสืบทอดได้ จนในปี ค.ศ. 1713 จึงอาศัยช่องโหว่ของกฎหมายที่ให้พระองค์ออกกฎหมายโดยไม่ต้องรอความเห็นชอบจากสภาไดเอท เมื่อครั้งยังทรงเป็นเจ้าหญิงมาเรียเทราซาวัย 15 ชันษา พระเจ้าคาร์ลทรงเห็นว่า มาเรีย เทเรซา ควรจะอภิเษกกับ เจ้าชายเฟรดเดอรริค มกุฎราชกุมาร ปรัสเซีย กลับยืนกรานที่จะแต่งงานกับฟรานซ์ ซเตฟาน ทายาทแห่งรัฐลอร์เรน และทรงเป็นนัดดาของผู้บัญชาการที่ปิดล้อมเวียนนา ดังนั้นฝรั่งเศสจึงใช้กฏหมายแพรกมาทิน แซงก์ชั่นเรียกร้องให้เจ้าบ่าวสละรัฐลอร์เรนให้กับฝรั่งเศษ ในประวัติศาสตร์เขียนว่า พระองค์ทรงหยิบปากกาถึงสามครั้งสามครา จนถูกถากถางว่า ไม่สละราชสมบัติ ก็ไม่มีเจ้าหญิง จึงจำยอมด้วยความจำใจ และในปี ค.ศ. 1736 ทั้งคู่ได้อภิเษกสมรสกัน และเหตุจากกฎหมายแพรกมาทิก แซงก์ชั่นทำให้พระองค์ต้องเข้าสู่สงครามแห่งความหายนะถึงสองครั้งสองคราว ขณะที่พระนางมาเรีย เทราซาได้กำเนิดโอรสที่ทรงพระครรภ์ในช่วงที่ขึ้นครองราชย์ ปี ค.ศ.1740 เป็นจักรพรรดินี พระนางได้เดินทางพร้อมพระโอรสเพื่อหาทางผลักดันผู้รุกรานซิเลเซีลทั้งจากบาวาเรียและฝรั่งเศส ด้วยการวิงวอนขอความช่วยเหลือจากฮังการี ซึ่งพระนางสามารถริบมงกุฎจักรพรรดิแห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมาได้ แต่ก็ไม่ได้ซิเลเซียคืน ครั้นจะเอามงกุฎไว้เองคงไม่เหมาะ จงยกให้พระสวามีในปี ค.ศ.1745 ซึ่งต่อมาอีก 19 ปี โอรสโยเซฟที่ 2 ได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งโรมมันอันศักดิ์สิทธิ์
นอกเรื่องไปไกลเลย กลับเข้ามาเที่ยวภายในพระราชวัง Schonbrunn จุดเด่นของพระราชวังนี้ ได้แก่ ห้องกระจกโวล์ฟกัง อมาเดอุส โมซาร์ท หนูน้อยอัจฉริยะ เกิดที่เมืองชาลช์บูร์ก ไม่น่าเชื่อว่าโมซาร์ทจะเกิดมาทัน เพราะโมซาร์ทเกิดในปี ค.ศ. 1756 ห้องจีนสีฟ้าที่สะท้อนศิลปโรโกโก้ ตกแต่งด้วยศิลปะจีน ที่น่าทึ่งคือ ผ้าไหมทอมือจากจีน ที่เอามาประดับในห้อง สวยงามมาก ทำให้รู้ว่าในสมัยนั้น นิยมนำเข้าของจากจีน โดยเฉพาะผ้าไหม กระเบื้อง ต้นส้ม รวมทั้งการลงรักปิดทอง ถือว่าเป็นของทันสมัยมาก แต่ในห้องถัดไปมีภาพที่ชอบมากที่สุดคือภาพวาดผู้ชายไม่ทราบว่าเป็นใคร ที่เท้าซ้ายจะชี้ตามเราตลอดเลย ไม่ว่าเราจะอยู่มุมไหนของห้อง ภาพวาดส่วนใหญ่จะเน้นที่พระนางมาเรีย เทเรซาเป็นหลัก เพราะทุกคนในภาพจะไม่มีใครเด่นเกินพระนางเลย และภาพปูนเปียกบนเพดานที่วาดยกย่องวราชวงศ์ฮัมบูร์ก และลอร์เรน แต่ส่วนที่วิจิตรที่สุดคือ พระราชอุทานที่มีทั้งน้ำพุเทพเนปจูน ปูชนียสถานแบบโรมัน และอนุสรณ์กลอรีทเทอ สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองที่สามารถต้านการรุกชองเฟรดเดอริคมหาราชได้ ปลายอุทยานมีพัลเมนเฉาส์ที่เพียบพร้อมด้วยเหล็กดัดและกระจก รวมทั้ง สวนสัตว์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ที่ยังคงรักษากรงขังสัตว์ป่าลักษณะศิลปะบาโรกฝีมือของฟราน ซเตฟานใว้ในอุทยาน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)