วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

กินน้ำผลไม้ อย่างไรไม่ให้อ้วน

ผลไม้ดีอย่างไร ข้อนี้ไม่ต้องพูดยืดยาว เพราะเป็นที่รู้กันว่า ผลไม้โดดเด่นในเรื่องให้วิตามิน เกลือแร่ที่สำคัญๆ ต่อร่างกาย ยังมีใยอาหาร และก็ให้พลังงานด้วย ผลไม้เป็นอาหารที่มีข้อดีโดดเด่นสำคัญอีกประการหนึ่งคือ ความอร่อย รสชาดมีให้เลือกทั้งเปรี้ยว หวาน มัน กลิ่นหอม สีสวย มีให้เลือกลิ้มชิมรสหลายหลายจริงๆ ใครไม่ชอบกินผลไม้ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร

แต่ผลไม้มีรสหวานตามธรรมชาติ ซึ่งรสหวานนั้นเย้ายวนให้ผู้กินหลงไหลติดในรสชาดหวานได้ง่ายๆ และความหวานนี้ก็คือน้ำตาลธรรมชาติที่อยู่ในผลไม้นั่นเอง ที่นี้ความหวานหรือน้ำตาลมักเป็นอุปสรรคของคนที่เป็นเบาหวาน เพราะต้องระมัดระวังปริมาณน้ำตาลในร่างกาย ดังนั้นคนที่เป็นเบาหวานจึงควรกินผลไม้ในปริมาณที่เหมาะสม เกณฑ์โดยทั่วไปสำหรับคนที่เป็นเบาหวานสามารถกินผลไม้ได้ ครั้งละ 1 ส่วน / มื้ออาหาร

ปริมาณผลไม้ 1 ส่วน จะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับปริมาณคาร์โบไฮเดรต ในผลไม้ชนิดนั้นๆ ซึ่งพอจะคำนวณปริมาณได้ง่ายๆ ดังนี้

ผลไม้ผลเล็ก 1 ส่วน = 4 - 8 ผล เช่น ลำไย ลองกอง เงาะ องุ่น
ผลไม้ผลกลาง 1 ส่วน = 1 - 2 ผล เช่น ส้ม ชมพู่ กล้วยน้ำว้า
ผลไม้ผลใหญ่ 1 ส่วน = 1 / 2 ผล เช่น มะม่วง ฝรั่ง แอปเปิล
ผลไม้ผลใหญ่มาก 1 ส่วน = 6 - 8 ชิ้นพอคำ เช่น สับปะรด แตงโม มะละกอ

ผลไม้หลายชนิดกินแบบสดๆ แล้ว ยังนิยมทำเป็นน้ำผลไม้ดื่ม เพื่อความสดชื่นและแก้กระหายด้วย คนเป็นเบาหวานสามารถดื่มน้ำผลไม้ได้เช่นกัน เพียงแต่ดื่มให้พอเหมาะ อย่าติดใจในรสชาดจนดื่มเพลินมากเกินไป

น้ำผลไม้คั้นสด (ไม่มีกาก) ดื่มได้ครั้งละไม่เกิน 1/2 ถ้วยตวง (120 ซีซี) การดื่มน้ำผลไม้แต่ละครั้งปริมาณมากจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงและยากต่อการควบคุม

คนเป็นเบาหวาน ที่ต้องการดื่มน้ำผลไม้ปริมาณมากขึ้น อาจทำเป็นน้ำผลไม้ปั่น โดยใส่ผลไม้ชิ้นปริมาณตามที่กินได้ใน 1 ส่วน เติมน้ำแข็งได้ตามชอบ ปั่นให้ละเอียด แต่ที่สำคัญคือต้องไม่เติมน้ำตาลหรือน้ำเชื่อมอย่างเด็ดขาด ถ้าต้องการรสหวานเพิ่มให้ใช้น้ำตาลเทียมแทนเท่านั้น

จะเลือกครีมบำรุงผิวทั้งที เลือกได้เหมาะกับผิวคุณหรือยัง???

ปกติแล้ว เวลาคุณสาวๆ จะเลือกซื้อครีมบำรุงผิวแต่ละครั้งนั้น คุณคำนึงถึงเรื่องอะไรก่อน??

แน่นอนว่า เกือบทุกคนต้องเลือกที่คุณสมบัติ ของส่วนประกอบในครีมบำรุงผิวแต่ละชนิดที่เราจะซื้อ เพราะมันจะเป็นตัวบอกคุณได้ว่า ครีมชนิดไหนเหมาะกับคุณมากที่สุด วันนี้เรามีคุณสมบัติของส่วนประกอบ ในครีมบำรุงผิว ที่มักพบเจอบ่อยๆ มาบอกกัน ว่ามันมีประโยชน์และช่วยอะไรคุณได้บ้าง

-Aloe Vera ช่วยบำรุงผิวให้นุ่มชุ่มชื่น ผิวเรียบเนียนขึ้น

-Shea Butter ทำหน้าที่ปรับสภาพผิว เพิ่มมอยส์เจอไรเซอร์ให้กับผิว และปกป้องให้ผิวแข็งแรง

-Cocoa Butter ช่วยบำรุงและทะนุถนอมสภาพผิว

-Vitamin E ปกป้องผิวจากสภาพแวดล้อม และบำรุงผิวให้ชุ่มชื่น

-Lanolin ช่วยสร้างเกราะป้องกันผิว เก็บกักความชุ่มชื่นได้ดี

-SPF ย่อมาจาก Sun Protection Factor และมีค่าตัวเลขบ่งบอกระยะเวลาว่าจะอยู่ไต้แสงแดดได้นานเท่าไหร่ และตัวเลขสูงขึ้นก็ หมายถึงการปกป้องที่สูงขึ้นเช่นกัน

เคล็ดลับผิวขาวอมชมพู 'โยเกิร์ตสครับสูตรน้ำผึ้ง'

สาวๆ ยุคใหม่ที่กำลังมองหาวิธีดูแลผิวพรรณให้เรียบ เนียน สวยอยู่ตลอดเวลา วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม นี้ รายการ "เคล็ดลับวันหยุด" ที่มาพร้อมกับพิธีกรสาวหุ่นเพรียว "คาร่า พลสิทธิ์" จะมาบอกเคล็ดลับเพื่อผิวขาวสุขภาพดีที่ทำได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากกับเคล็ดลับ "โยเกิร์ตสครับสูตรน้ำผึ้ง" ซึ่งเธอเล่าให้ฟังว่า

"คาร่ามีผิวขาวสุขภาพดีได้ ก็เพราะคาร่าได้บำรุงผิวพรรณจากโยเกิร์ตผสมน้ำผึ้งที่ได้จากธรรมชาติ และถ้าพูดถึงโยเกิร์ตแลวใครๆ ก็รู้ว่าเป็นอาหารที่มีคุณค่า แถมยังเป็นอาหารผิวที่ดีได้อีกด้วยค่ะ ส่วนน้ำผึ้งนอกจากเป็นยาอายุวัฒนะแล้ว ก็ยังมีคุณค่าในด้านความสวยความงามด้วยค่ะ

สำหรับส่วนผสมของเคล็ดลับ "โยเกิร์ตสครับสูตรน้ำผึ้ง" เริ่มจากน้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะ จมูกข้าวสาลี 2 ช้อนโต๊ะ และโยเกิร์ตเปล่า 1 ถ้วยค่ะ นำมาคนให้เข้ากันแล้วนำมาทาให้ทั่วตัว จากนั้นใช้ปลายนิ้วขัดผิวเบาๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และขจัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออกมาหลังล้างออก และยังเพิ่มความชุ่มชื้นและคงความขาวเนียนให้กับผิวได้อีกด้วยค่ะ อย่าลืมบำรุงด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของโยเกิร์ตเป็นประจำ ให้ทั่วทุกส่วนของร่างกายนะคะ เพื่อคุณจะได้เป็นเจ้าของผิวที่ขาว อมชมพูอย่างมีสุขภาพดีตลอดไปค่ะ"

เคล็บลับผิวขาวนุ่มชุ่มชื่น

ถ้าคุณต้องเผชิญกับศัตรูความงามทุกๆ วัน ถึงเวลาแล้วที่เราต้องปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์เพื่อคืนความขาวเนียนสดใสให้กับผิว ทั้งนี้เคล็ดลับง่ายๆ ก็มีอยู่ว่า

"ควรบำรุงผิวด้วยมอยส์เจอร์สม่ำเสมอ ช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดสำหรับการทามอยส์เจอร์บำรุงผิวก็คือ หลังจากอาบน้ำเสร็จ เช็ดตัวพอหมาดเหลือทิ้งความชุ่มชื้นไว้บนผิวบ้างก่อนทามอยส์เจอร์ เพื่อเก็บรักษาความชุ่มชื่นให้อยู่กับผิวได้นานขึ้น"

หากต้องทำงานในห้องแอร์หรือสัมผัสกับอากาศร้อนอบอ้าวทุกวัน การบำรุงผิวหลังจากอาบน้ำตอนเช้าหรือตอนเย็นอาจไม่เพียงพอ ควรจะขยันบำรุงผิวขึ้นอีกนิด วิธีง่ายๆ คือ แค่พกพามอยส์เจอร์บำรุงผิวที่ซึมซับอย่างรวดเร็วติดกระเป๋าหรือใส่ในลิ้นชักโต๊ะทำงานไว้ เพื่อเติมความชุ่มชื่นระหว่างวันได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะบริเวณแขน ขา หรือข้อศอก ทุกวันที่ต้องออกไปผจญกับแสงแดดเช่นเดียวกัน คุณควรปกป้องผิวสวยจากรังสียูวีด้วยครีมกันแดดทุกวัน และพยายามหลีกเลี่ยงการออกไปสัมผัสกับแสงแดดแรงกล้าในช่วงระหว่าง 10 โมงเช้า ถึง 4 โมงเย็น

หากต้องการคืนความขาวให้กับผิวของคุณ ต้องเลือกครีมบำรุงผิวอย่างเหมาะสม การดื่มน้ำให้พอเพียงวันละประมาณ 8 แก้วต่อวัน เท่ากับเป็นการเติมทั้งความสดชื่นให้กับร่างกายแล้วยังเป็นการช่วยเติมน้ำให้ผิวคงความชุ่มชื่นอีกด้วยค่ะ ถ้าคุณจำไม่ได้ว่าแต่ละวันดื่มน้ำได้วันละ 8 แก้วตามคำแนะนำที่ได้ยินอยู่บ่อยครั้ง ลองวางขวดน้ำดื่มและวางแก้วไว้บนโต๊ะทำงาน เพื่อเตือนใจว่าแต่ละวันได้ดื่มน้ำพอเพียงหรือยัง

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วัดพระศรีอารย์

วัดพระศรีอารย์ มีอายุประมาณ ๒๖๐ ปี เป็นวัดเก่าแก่สร้าง มาแต่สมัยปลายกรุงศรีอยุธยา เดิมวัดพระศรีอารย์ ชื่อ วัดสระอาน สันนิษฐานว่า วัดพระศรีอารย์ได้เริ่มก่อสร้างเมื่อ ประมาณปี ๒๒๗๕ ซึ่งแต่ก่อนเป็นวัดสร้างยังไม่มี พระภิกษุ มาอยู่จำพรรษา เป็นวัดเก่าที่มีมาช้านาน มีผู้พบอุโบสถก่ออิฐ ถือปูน ขนาดกว้าง ๔ เมตร ยาว ๙ เมตร เป็น อุโบสถมหาอุด มีทางเข้าด้านหน้าเพียงด้านเดียว มีสระน้ำโบราณอยู่คู่กับ อุโบสถด้านทิศเหนือ ขณะที่ค้นพบมีสภาพเก่าและชำรุดทรุดโทรมเป็นอย่างมาก ภายในอุโบสถมีพระประธานที่เก่าแก่ เป็นอิฐเผาถือปูน บริเวณรอบๆ อุโบสถเป็นป่ามีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นปกคลุมอยู่ จนถึงประมาณปี ๒๔๗๕ เริ่มมีพระภิกษุเข้ามาพักจำพรรษา เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ในปี ๒๕๐๐ ได้เปลี่ยนชื่อจาก วัดสระอาน มาเป็น วัดพระศรีอารย์

วัดศรีอารย์ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันได้ทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชนตลอดมา และได้สร้าง อุโบสถหลังใหม่ขึ้น เป็นสถาปัตยกรรมที่ทรงคุณค่า มีความวิจิตรตระการตา ประดับด้วยลายปูน ปั้นในรูปลักษณ์ต่างๆ อย่างงดงาม มั่นคง อย่างลงตัวทั้งหลัง อุโบสถทองคำร้อยล้านก่อสร้างเมื่อปี ๒๕๑๐ โดย พระครูสิริพัฒนกิจ (หลวงพ่อขันธ์ กนฺตธโร) อดีตเจ้าวัดพระศรีอารย ์ เป็นผู้ริเริ่ม และได้รับ พระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๑๐ การก่อสร้าง อุโบสถครั้งนี้ เพื่อใช้เป็น สถานที่ประกอบพิธีกรรมของภิกษุสงฆ์ อีกทั้ง ยังเป็น กาาแสดงถึงมรดกของไทย ด้านศิลปกรรม และจิตรกรรม อุโบสถทำจากคอนกรีตเสริมเหล็ก ขนาดกว้าง ๑๘ เมตร ยาว ๔๐ เมตร ประดับด้วยลวดลายรูปปั้น เป็นฝีมือช่างพื้นบ้าน อุโบสถหลังใหม่นี้ไม่มี แบบสำเร็จรูป เป็นการสร้างตามแบบที่หลวงพ่อขันธ์ ต้องการ และที่ สำคัญไม่มีการตอกเสาเข็ม เพราะ ในสมัยนั้น การก่อสร้างในต่างจังหวัด ยังไม่มีการ ตอกเสาเข็ม เพียงแต่นำหินมาถมและเทคานรองรับเพื่อสร้างตัวอุโบสถได้เลย

ช่างผู้รับงานก่อสร้างเป็นคนบ้านพระศรีอารย์ ส่วนแรงงานเป็นการลงแรงของคนในชุมชน และใกล้เคียง ส่วนมากทำในเวลาที่ว่างจากงานประจำของชาวบ้าน กระทั่งในปี ๒๕๑๗ เกิดน้ำท่วมใหญ่ ทำให้ชาวบ้านหวั่นวิตกว่า อุโบสถที่อยู่ระหว่าง ก่อสร้างจะพังลงมา เพราะไม่มีเสาเข็ม แต่หลัง จากน้ำลดลงแล้ว ไม่ปรากฏความเสียหายใดๆ การก่อสร้างต้องหยุดชะงักลงระยะหนึ่ง เมื่อหลวงพ่อขันธ์มรณภาพ พระครูวิทิตพัฒนโสภณ (สง่า ฐานิสฺสโร) เจ้าอาวาสวัดพระศรีอารย์ รูปปัจจุบันได้เป็นผู้สานต่องานทั้งหมด

ต่อมา นายประเสริฐ อรชร ได้เข้ามารับช่วงการก่อสร้างต่อ จึงได้ดำเนินการเทคานรอบตัวอาคาร อีกครั้ง เพื่อความมั่นคง การก่อสร้างในสมัยที่นายประเสริฐเข้ามารับงานนี้ เป็นการตกแต่งเพื่อความสมบูรณ์มากกว่า เพราะโครงสร้างของอาคาร ได้เสร็จก่อนหน้านี้แล้ว

ดังนั้น งานใหญ่ที่สำคัญคือ การติดลายปูนปั้นต่าง ทั้งภายในและรอบนอกอุโบสถ ส่วนพระประธานในอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะพม่า สร้างด้วยหยกขาวทั้งองค์ โดยมี หลวงพ่ออุตตมะ (พระราชสังวรอุดม) วัดวังก์วิเวการาม จ.กาญจนบุรี เป็นประธานในการอัญเชิญ มาประดิษฐานไว้ ณ อุโบสถร้อยล้านหลังนี้ เมื่อวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๓๖ ภายในติดกระจก ลงรักปิดทองบานประตู หน้าต่าง แกะสลักเรื่อง พุทธประวัติ ฝาผนัง แต่งแต้มด้วย จิตรกรรม เรื่องพระมหาชนก พระเจ้า ๕ พระองค์ พระประธานในอุโบสถ สร้างจากหินหยกขาว ซึ่งหลวงพ่อ อุตตมะ แห่งวัดวังวิเวการาม จ.กาญจนบุรี เมตตาอธิฐานจิต อัญเชิญมา จากประเทศพม่า มาประดิษฐานที่ประเทศไทย ณ อุโบสถวัดพระศรีอารย์ และการก่อสร้างอุโบสถทองคำร้อยล้าน วัดได้รับการถวายประตูอุโบสถจาก นายเกรียงไกร เชษฐโชติศักดิ์ ประธานบริษัท อาร์.เอส.โปรโมชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นจำนวนเงิน ๑ ล้านบาท หลังจากนั้นทุกปีนายเกรียงไกรก็จะมาช่วยงาน ที่วัดพระศรีอารย์เป็นประจำ

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

L'amour est bleu [Love is blue]

Claudine Longet
Doux, doux, l'amour est doux
Douce est ma vie, ma vie dans tes bras
Doux, doux, l'amour est doux
Douce est ma vie, ma vie près de toi
Gris, gris, l'amour est gris
Pleure mon cœur lorsque tu t'en vas
Gris, gris, le ciel est gris
Tombe la pluie quand tu n'es plus là
Comme l'eau, comme l'eau qui court
Moi, mon cœur court après ton amour
(Doux, doux, l'amour est doux) Yesterday we were together
(Douce est ma vie, ma vie dans tes bras) And life was sweet
(Doux, doux, l'amour est doux) Today you're gone My life is sad
(Douce est ma vie, ma vie près de toi) And love is blue
Comme l'eau, comme l'eau qui court
Moi, mon cœur court après ton amour
Bleu, bleu, l'amour est bleu
Le ciel est bleu lorsque tu reviens
Bleu, bleu, l'amour est bleu
L'amour est bleu quand tu prends ma main

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เกาะเกร็ด นนทบุรี

อีกหนึ่งวันสำหรับการพักผ่อน ครั้งนี้ฉันเลือกที่จะมาที่ "เกาะเกร็ด" เพราะนอกจากจะใกล้กรุงเทพฯแล้ว การเดินทางก็สะดวกสบาย และสามารถไปกลับได้ภายในวันเดียวอีกด้วย

แต่เดิมเกาะเกร็ดเป็นแหลมที่ยื่นไปตามความโค้งของแม่น้ำเจ้าพระยาชื่อว่า “บ้านแหลม” ในสมัยอยุธยา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระโปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองลัดเกาะเกร็ดขึ้นเพื่อเป็นทางลัดจากปากเกร็ดไปบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณวัดปากอ่าว และวัดสนามไชย ด้วยความแรงของกระแสน้ำ ทำให้ลำคลองกว้างขึ้น จนบริเวณเกาะเกร็ดกลายเป็นเกาะดังที่เห็นในปัจจุบัน

ฉันมาถึงท่าเรือข้ามฝากที่วัดสนามเหนือเมื่อเวลาประมาณ 11โมง เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน จึงมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวจำนวนมาก ฉันรอสักพักก้ได้นั่งเรือข้ามฟากไปเกาะเกร็ด เมื่อถึงฝั่งฉันได้พบกับวัดแห่งแรกคือ วัดปรมัยยิกาวาส ซึ่งนับเป็นวัดสำคัญของเกาะแห่งนี้ สร้างขึ้นในสมัยอยุธยา แต่ถูกทิ้งร้างหลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2417 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่าวัดอยู่ในสภาพที่ทรุดโทรม จึงโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะและสร้างศาสนสถานขึ้น

เกาะเกร็ดเป็นย่านชุมชนที่มีความเจริญมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย เนื่องจากเป็นเส้นทางผ่านไปยังกรุงศรีอยุธยา ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่นี่เป็นคนเชื้อสายมอญที่อพยพในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ซึ่งจะเห็นได้จากวัดวาอารามต่างๆ บนเกาะ เครื่องปั้นดินผาแบบมอญโบราณ รวมไปถึงอาหารการกินที่ยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ฉันเดินทอดน่องไปเรื่อยๆตามทางเดินที่ปูลาดด้วยซีเมนต์รอบเกาะ ซึ่งทำให้การเดินชมเกาะค่อนข้างสะดวกสบาย แต่ถ้าไม่เดินเท้า ก็สามารถเช่าจักรยานขี่รอบเกาะได้เช่นกัน

"หน่อกะลา" ผักพื้นบ้านขึ้นชื่อบนเกาะเกร็ด

ถ้าใครเคยไปเที่ยวที่เกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ก็คงจะได้เห็นของกินขึ้นชื่ออย่างหนึ่งที่มีวางขายกันทั่วไปบนเกาะ นั่นก็คือ "ทอดมันหน่อกะลา"

"หน่อกะลา" ถือเป็นผักพื้นบ้านของเกาะเกร็ด และเป็นพืชตระกูลเดียวกับข่า มีลักษณะเหมือนต้นข่าทั้งใบและลำต้น แต่จะมีขนาดเล็กกว่า ชาวมอญบนเกาะเกร็ดใช้หน่อกะลามาประกอบอาหารเป็นเวลานานแล้ว โดยจะนำต้นหน่อกะลามาปอกเปลือกออกเหลือแต่เนื้อใน จะนำมากินสดๆ หรือจะต้มจิ้มน้ำพริกก็ได้ นำไปทำเป็นแกงส้มก็อร่อย รวมไปถึงทอดมันหน่อกะลา ก็เป็นของกินขึ้นชื่อที่ใครกินแล้วก็บอกว่าอร่อยเป็นเสียงเดียวกัน

นอกจากนำมาประกอบอาหารได้อร่อยแล้ว ต้นหน่อกะลานั้นยังมีสรรพคุณทางยา โดยจะช่วยแก้อาการท้องอืด แน่นเฟ้อ จุกเสียด และช่วยไล่ลมในร่างกายได้อีกด้วย

เครื่องปั้นดินเผา เกาะเกร็ด

เกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เป็นเกาะเล็กๆ ที่มีแม่น้ำเจ้าพระยาโอบล้อม ชาวเกาะเกร็ดได้ชื่อว่า มีฝีมือเป็นเลิศในการทำเครื่องปั้นดินเผา มานานนับร้อยปี ตั้งแต่ยังอยู่เมืองมอญ ก่อนที่จะอพยพเข้ามาในประเทศไทย ชาวมอญได้ตั้งบ้านเรือนบริเวณปากเกร็ด ซึ่งสภาพดินเหมาะสมในการทำเครื่องปั้นดินเผา จึงกลายเป็นแหล่งผลิตเครื่องปั้นดินเผา ที่รู้จักกันว่า ละเอียดงดงาม สีแดง ผิวมัน และมีความประณีตมาก

เครื่องปั้นดินเผา ของชาวเกาะเกร็ด มีหลายขนาด ตั้งแต่ขนาดใหญ่จนถึงเล็ก ตกแต่งแบบเรียบง่าย บางชิ้นเป็นงานแกะสลัก ได้แก่ โอ่ง อ่าง ครก กระปุก และโอ่งพลู ส่วนเครื่องปั้นดินเผาที่ทำขึ้น เพื่อมอบแก่บุคคลสำคัญ มีให้เลือกหลายแบบ เช่น หม้อน้ำ โอ่งสลักลายวิจิตร ซึ่งสามารถสั่งทำได้เกือบทุกรูปแบบตามความต้องการ

นอกจากนี้ ภายในเกาะเกร็ด ยังมีศูนย์หัตถกรรมเครื่องปั้นดินเผา ก่อตั้งโดย นางยุพิน จันทร์หอมกุล อดีตผู้ใหญ่บ้าน เพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้ ศูนย์กลางการตลาด การผลิต และการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม พร้อมทั้งเป็นการส่งเสริมให้สมาชิกพัฒนาฝีมือ และคุณภาพยิ่งขึ้นไป

ไม่ควรพลาด เข้าไปชมผลิตภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาเก่าแก่ อายุกว่าร้อยปี เช่น ครกโบราณ โอ่ง ไห ภาชนะใช้งานของชาวมอญโบราณ เลือกซื้อและชื่นชมเครื่องปั้นดินเผาแกะสลักวิจิตร อันเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น มีสี ซึ่งเกิดจากธรรมชาติคือ สีส้มออกแดง หรือสีเทาเข้ม เกิดจากการควบคุมอุณหภูมิในการเผา โดยไม่มีสารเคมีเคลือบ อย่างไรก็ตาม หากนักท่องเที่ยวสนใจ ลองแสดงฝีมือในการปั้น ซึ่งสามารถทำได้ทันทีที่นี่

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานพัฒนาชุมชน จังหวัดนนทบุรี โทรศัพท์ 0 2580 0704 และ สำนักงานพัฒนาชุมชน อำเภอปากเกร็ด โทรศัพท์ 0 2583 2139

เกาะเกร็ด

เกาะเกร็ด เป็นเกาะกลางน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง และมีฐานะเป็นตำบลหนึ่งในท้องที่อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี มีเนื้อที่ประมาณ 4.12 ตารางกิโลเมตรหรือ 2,489 ไร่ เป็นที่อยู่ของชาวไทยเชื้อสายมอญที่มีอาชีพปั้นเครื่องปั้นดินเผาเป็นส่วนใหญ่
เกาะเกร็ดเกิดจากการขุดคลองลัดแม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อปี พ.ศ. 2265 ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ คลองลัดดังกล่าวเรียกว่า "คลองลัดเกร็ดน้อย" หรือ "คลองเตร็ดน้อย" ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงสยามฉบับบริติชมิวเซียมตอนหนึ่งว่า

"...ในปีขาล จัตวาศก ทรงพระกรุณาโปรดให้พระธนบุรีเป็นแม่กอง เกณฑ์พลนิกายคนหัวเมืองปากใต้ให้ได้คน ๑๐,๐๐๐ เศษ ให้ขุดคลองเตร็ดน้อย ลัดคุ้งบางบัวทองนั้นคดอ้อมนัก ขุดลัดตัดให้ตรง พระธนบุรีรับสั่งแล้วถวายบังคมลามา ให้เกณฑ์พลนิกายในบรรดาหัวเมืองปากใต้ได้คน ๑๐,๐๐๐ เศษ ให้ขุดคลองเตร็ดน้อยนั้นลึก ๖ ศอก กว้าง ๓ วา ยาวทางไกลได้ ๒๙ เส้นเศษ ขุดเดือนเศษจึ่งแล้ว..."

ต่อมากระแสน้ำเปลี่ยนทิศเนื่องจากไหลทางตรงได้สะดวกกว่าและกัดเซาะตลิ่งทำให้คลองสายนี้ขยายเป็นแม่น้ำลัดเกร็ด แผ่นดินตรงแหลมจึงกลายเป็นเกาะ ในรัชสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ระบุในโฉนดชื่อว่า เกาะศาลากุน ตามชื่อวัดศาลากุนที่สร้างโดยเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ (กุน) ตั้งแต่สมัยธนบุรี ต่อมาเมื่อตั้งอำเภอปากเกร็ด จึงเรียกเป็น "เกาะเกร็ด"

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

โยเกิร์ต นมเปรี้ยวมหัศจรรย์

โยเกิร์ต นมเปรี้ยวมหัศจรรย์โยเกิร์ต นมเปรี้ยวที่คนไทยรู้จักในรูปแบบต่างๆ อาจจะไม่ใช่นมเปรี้ยวที่เรากำลังจะกล่าวถึงเพราะ โยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยวที่ดีจะต้องมีแบคทีเรียที่ยังมีชีวิตอยู่ จุดประสงค์ของการรับประทานนมเปรี้ยวที่ถูกต้องคือ การรับประทานแบคทีเรียที่ยังมีชีวิตจำนวนมาก(ประมาณ หมื่นล้านต้วต่อกรัม)เพื่อหวังผลต่อสุขภาพ ส่วนนมเปรี้ยวที่เราหาซื้อกันในท้องตลาดทำขึ้นโดยมีการปรุงแต่งรสชาติให้อร่อย บางชนิดไม่สมควรเรียกว่าโยเกิร์ตเสียด้วยซ้ำเพราะนำไปพาสเจอร์ไรซ์(ฆ่าเชื้อที่อุณหภูมิสูง)และนำมาบรรจุกล่อง ที่จริงน่าจะเรียกว่าซากโยเกิร์ต บางชนิดก็มีการใส่น้ำตาลมากจนน่าสงสัยว่าท่านจะได้ประโยชน์ได้เต็มที่หรือไม่ บางชนิดก็มีการเจือจางจนปริมาณแบคทีเรียเหลืออยู่น้อยมาก

แบคทีเรียที่ดีในโยเกิร์ต ได้แก่ แลคโตบาซิลัส เอซิโดฟิลลัส( Lactobacillus acidophillus) แลคโตบาซิลัส บัลการิคัส ( Lactobacillus bulgaricus) และ สเตรปโตคอคคัส เทอร์โมฟิลลัส ( Streptococcus thermophillus)

โยเกิร์ตสามารถ ทำได้จากนมชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นมสด นมพร่องมันเนย หรือ นมถั่วเหลือง โดยการใช้แบคทีเรีย แลคโตบาซิลัส เอซิโดซิส และ สเตรปโตคอคคัส เทอร์โมฟิลลัส เป็นหลักใส่ลงไปหมักผลิตภัณฑ์นมต่างๆ แบคทีเรียเหล่านี้ช่วยย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมให้เป็นกรดแลคติคทำให้มีภาวะกรดและมีรสเปรี้ยว

ดังนั้นโยเกิร์ตที่ดีควรทำจากนมชนิดต่างๆและแบคทีเรียที่ดีเท่านั้น ไม่ควรมีส่วนผสมอย่างอื่นเข้าไปเจือปน ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาล สี สารเจลาติน รสสังเคราะห์ ส่วนผสมเหล่านี้ล้วนทำให้คุณค่าของโยเกิร์ตด้อยลง แม้ว่าเราอาจจะไม่คุ้นเคยต่อรสโยเกิร์ตธรรมชาติ แต่ขอให้คำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้รับ ท่านก็จะสามารถรับประทานโยเกิร์ตธรรมชาติด้วยความสบายใจและอร่อย

คุณประโยชน์จากโยเกิร์ต

1.โยเกิร์ตย่อยง่าย เพราะน้ำตาลแลคโตสเป็นตัวหลักที่ทำให้เกิดการแพ้นมหรือท้องเสียถูกเปลี่ยนเป็นกรดแลคติกที่ย่อยง่าย นอกจากนนี้แบคทีเรียในโยเกิร์ตยังมีเอนไซม์ช่วยย่อยโปรตีนนม เคซีน ซี่งเป็นโปรตีนย่อยยาก ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่ายขึ้น ลดปัญหาภูมิแพ้ต่อน้ำตาลแลคโตสและ โปรตีนเคซีน

2. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันและช่วยยับยั้งจุลชีพที่ไม่เป็นมิตรในลำไส้ กรดแลคติคจะช่วยต่อต้านจุลชีพที่อาจให้โทษต่อร่างกายเช่น เชื้อซัลโมเนลา (Salmonella typhidie) อี โคไล ( E. Coli) โคลินแบคทีเรีย( Corynebacteria diphtheriae) ทำให้เชื้อเหล่านี้ไม่สามารถทำอันตรายต่อร่างกายได้ เราควรจะรับประทานโยเกิร์ตอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มีกลุ่มแบคทีเรียที่ดีอาศัยอยู่ภายในลำไส้

3. เป็นแหล่งวิตามิน บี โดยเฉพาะวิตามิน บี1(ไรโบฟลาวิน) แบคทีเรียในโยเกิร์ตยังช่วยสังเคราะห์วิตามิน บีและวิตามิน เค ในลำไส้

4. ช่วยรักษาโรค ท้องเสีย ท้องเดิน และแผลในกระเพาะ จากการวิจัยพบว่าผู้ป่วยเด็กหายจากอาการท้องเสียเร็วขึ้น หลังจากได้รับประทานโยเกิร์ต

5. ช่วยทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมดีขึ้น กรดแลคติคในโยเกิร์ตช่วยทำให้การย่อยแคลเซียมในนมดีขึ้นและทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมง่ายขึ้น

6. เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี ในโยเกิร์ตจะมีโปรตีนมากกว่าในนม 20% และยังเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย ร่างกายสามารถดูดซึมไปใด้ด

7. ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ แลคโตบาซิลัสช่วยควบคุมปริมาณโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้

8. ช่วยป้องกันมะเร็ง แลคโตบาซิลัสสามารถจับกับสารก่อมะเร็ง สามารถจับกับโลหะหนัก และกรดน้ำดีซึ่งมีพิษ แลคโตบาซิลัสช่วยยับยั้งกลุ่มแบคทีเรียในลำไส้ที่สร้างสารไนเตรทได้ (สารในเตรทเป็นสารก่อมะเร็งตัวหนึ่ง) และแลคโตบาซิลัสยังช่วยเปลี่ยนสารฟลาโวนอยด์จากพืชให้เป็นสารต้านมะเร็งได้

10 ความเข้าใจผิดๆกับเรื่องอาหาร

แน่นอน สาวหลายๆ คนคงจะปฏิเสธกันไม่ได้ใช่มั้ยล่ะคะว่า คุณยังมีความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับเรื่องอาหารการกินกันอยู่ เราเลยถือโอกาสนํา 10 ความเข้าใจผิดในเรื่องอาหารมาฝากสาวๆ กัน เผื่อจะได้ปรับความเข้าใจกันเสียใหม่ ไม่ต้องหลงเชื่อกันแบบผิดๆ อย่างนี้อีกต่อไปแล้วละ
1.งดมื้อเช้า
ถ้าใครกําลังทําอยู่ก็เลิกเสียเถอะค่ะ เพราะมื้อเช้าเป็นมื้อที่สําคัญมาก นอกจากจะเป็นแหล่งพลังงานให้คุณสู้งานได้อย่างไม่มีถอยแล้ว ยังช่วยให้ไม่หิวมากด้วยก่อนที่จะถึงมื้อต่อไป

2.งดกินทุกอย่างก่อนออกกำลังกาย
ไม่ควรค่ะ เพราะร่างกายต้องการพลังงานเพื่อนํามาใช้ในการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ อยู่แล้ว ฉะนั้น ก่อนออกกําลังกายควรกินพวกอาหารที่มีส่วนประกอบของคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (เพราะมีไฟเบอร์มากและไขมันต่ำด้วย) อย่างโยเกิร์ต นมถั่วเหลือง หรือขนมปังค่ะ

3.หลังออกกำลังกายควรเว้นช่วงนานๆแล้วจึงค่อยกิน
จริงๆ แล้ว ไม่ต้องเว้นไว้นานขนาดนั้นก็ได้ กินหลังจากออกกําลังกายไปแล้ว 1 ชั่วโมงก็โอ.เค.แล้วละ และควรเลือกกินอาหารที่มีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรเชิงซ้อนด้วยนะ เพราะจะได้ไปช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญและช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้ดีขึ้นค่ะ

4. กินขนมที่มีส่วนประกอบของโปรตีนหรือโปรตีนเชคแทนข้าว
อาหารขบเคี้ยวเหล่านี้ใช่ว่าจะไม่มีแคลอรีหรือไขมันเลยนะคะ อีกทั้งโปรตีนเชคนั้นก็ไม่มีไฟเบอร์อีกด้วย สรุปแล้วไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้กินอาหารจริงๆ เข้าไปหรอกค่ะ

5. เชื่อมั่นในฉลาก
อย่าเชื่อในทุกๆ สิ่งที่คุณได้อ่าน โดยเฉพาะฉลากที่ติดอยู่ข้างๆ ขวดเครื่องดื่ม เพราะยังมีอีกหลายๆ โรงงานที่ขาดการควบคุมที่เคร่งครัดอยู่ ทางที่ดี ก่อนซื้อควรดูองค์ประกอบหลายๆ อย่างรวมกัน แล้วจึงค่อยตัดสินใจ

6. กินน้อยๆ คนส่วนมากมักจะกลัว
ไม่กล้ากินเยอะจนบางครั้งพลังงานที่รับเข้าไปไม่เพียงพอกับที่ร่างกายต้องการสําหรับทํากิจกรรมนั้นๆ อย่าลืมสิคะว่า กินน่ะกินได้ แต่ก็อย่าให้มากจนเกินไปนัก เพราะร่างกายจะเผาผลาญไม่ทัน เกิดเป็นไขมันสะสม แล้วต้องมานั่งกลุ้มไดเอ็ทกันใหม่ จะยุ่งเอานะ

7. ออกกำลังกายเท่านั้นคือหนทางการลดอ้วน
ถึงแม้ว่าคุณจะออกกําลังกายบ่อยแค่ไหนก็ตาม แต่หากขาดการวางแผนการกินที่ดีต่อสุขภาพแล้ว การออกกําลังกายที่ทําไปก็ถือว่าสูญเปล่าได้นะ

8.ไม่ควรกินน้ำมากๆ ขณะอกกำลัง
ผิดค่ะ การเสียน้ำมากๆ ไม่ดีต่อร่างกายเลยนะคะ โดยเฉพาะเวลาที่กําลังอยู่ในที่ร้อนๆ ฉะนั้น ระหว่างและหลังออกกําลังกายก็อย่าลืมดื่มน้ำเข้าไปให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายด้วยละ

9.ไดเอ็ทแบบบอดๆ
แน่นอนค่ะว่าการลดน้ำหนักแบบนี้จะเห็นผลเร็วและง่ายต่อการปฏิบัติด้วย แต่มันก็ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องนัก คุณควรหันกลับมาใช้วิธีแบบเดิมๆ คือควบคุมอาหารและออกกําลังกายควบคู่ไปด้วยจะดีกว่าค่ะ

10.กินโปรตีนเยอะๆแป้งน้อยๆ
หลายๆ คน อาจจะกําลังฮิตกับการไดเอ็ทประเภทนี้มาก คือ ไม่กินพวกข้าวหรือขนมปังเลย อย่าลืมสิคะว่า คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนก็มีความสําคัญต่อการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อนะ เอ้า...ถ้ารู้อย่างนี้แล้ว ทิ้งมันได้ลงก็ให้มันรู้ไป!

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

อนาถ! เผาตัวตายหนีคลุมถุงชน

การบังคับแต่งงานคือสาเหตุใหญ่
เบื้องหลังการเผาตัวตายเพื่อประท้วงในกลุ่มสตรีอัฟกานิสถานที่นับวันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเพราะผู้หญิงประเทศนี้มีที่รู้หนังสือไม่ถึงร้อยละ 20 บวกกับระบบกฎหมายไร้ประสิทธิภาพ จึงไม่แปลกที่หลายคนจะหาทางออกของปัญหาไม่เจอและคิดสั้นในที่สุด

เรื่องราวดังกล่าวปรากฏในการประชุมระดมความคิดเพื่อหาทางหยุดยั้ง
ปรากฏการณ์น่าสลดใจในหมู่ผู้หญิง จัดขึ้น 3 วัน มีผู้เข้าร่วมราว 400 คน เป็นตัวแทนจากหลายประเทศที่ต่างก็มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงพอๆ กัน เช่น บังกลาเทศ อิหร่าน อินเดีย และศรีลังกา
เมดิก้า มอนดิแอล องค์กรพัฒนาสังคมสัญชาติเยอรมัน เสนองานวิจัย ระบุว่า
แม้จะไม่มีตัวเลขหรือบันทึกแน่ชัดจากโรงพยาบาลและตำรวจว่า มีการฆ่าตัวตายเท่าไร และมีกี่ครอบครัวที่เกิดกรณีดังกล่าว แต่พบว่าเฉพาะโรงพยาบาลในกรุงคาบูล เมืองหลวงของอัฟกานิสถาน มีกรณีผู้หญิงเผาตัวตายถึง 18 กรณี ในปี 2548 และ 36 กรณี ในปี 2549

นอกจากนี้ เมืองเฮรัต ทางตะวันตกของอัฟกานิสถาน
ยังมีการฆ่าตัวตายมากที่สุดและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่ามีให้ได้ยินทุกวันและในจำนวนนั้นร้อยละ 60 เป็นผู้หญิงที่ไม่มีการศึกษา
สำหรับเหตุผลที่ผู้หญิงและเด็กสาวเลือกใช้วิธีรุนแรงดังกล่าว
อย่างที่บอกในเบื้องต้นก็คือการถูกบังคับแต่งงาน ไม่ว่าจะเป็นการยกให้ครอบครัวอื่นไปเพื่อปลดหนี้หรือยุติความขัดแย้งกับญาติๆ เช่น กรณียกให้พ่อตาพ่อสามีที่ต้องการมีอีหนู
ซิมาร์ ซิมาร์ หัวหน้ากลุ่มสิทธิมนุษยชนอัฟกานิสถาน (AIHRC) กล่าวในที่ประชุมว่า
การฆ่าตัวตายคือทางเลือกสุดท้ายของผู้หญิงที่หาทางออกอื่นไม่พบ จากสถิติพบว่าการแต่งงานในอัฟกานิสถานร้อยละ 60-80 เป็นการบังคับแต่ง

สำหรับกุลซัม สาววัย 16 ปี ผู้รอดชีวิต เล่าว่า

เธอราดเบนซินใส่ตัวแล้วจุดไฟเผา หลังจากที่โดนสามีขี้ยาที่แก่กว่าเธอถึง 25 ปี ทุบตีทำร้าย ซึ่งพ่อบังคับให้แต่ง

เธอกล่าวต่อว่า
"เวลาที่เขาไม่ได้เสพเฮโรอีนหรือยาเขาก็จะมาทำร้ายฉัน ตอนกลางคืนเขาจะทุบตีฉัน ทุบหัวจนเลือดไหลออกจมูก ฉันถามเขาว่าทำอย่างนี้ทำไม แต่เขาก็ยิ่งตีฉันอีก"

และภายหลังผ่าตัดหลายครั้งจนปกติ กุลซัมก็ต้องกลับมาอยู่กับชายคนเดิมที่หัวโบราณและไม่สามารถเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีได้ เพราะในประเทศนี้ห้ามหย่าร้างและสิทธิในการเลี้ยงลูกอยู่ที่พ่อไม่ใช่แม่

นอกจากนั้นอายุของผู้หญิงที่กฎหมายอนุญาตให้แต่งงานได้คือ 18 ปี
แต่ความเป็นจริงผู้หญิงราวร้อยละ 57 ถูกบังคับแต่งงานก่อนอายุ 16 ปีด้วยซ้ำ ตามรายงานของสหประชาชาติ

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

คำสาปจมเรือไททานิค

คำสาปจมเรือไททานิค
มีนักโบรานคดีชาวอเมริกัน เดินทางไปอียิปต์เพื่อไปหานักอียิปวิทยาชาวอังกฤษชื่อว่า ดักลาส เมอร์เรย์อะนะ ที่กรุงไคโร อียิป จุดประสงค์ของเขาก็เพื่อขายสินค้าชิ้นนึง สินค้านั้นก็คือ หีบพระศพของเจ้าหญิงไอยคุปต์โบราณองค์นึง เมื่อนักอียิปวิทยาเห็นหีบพระศพถึงกับตะลึง เพราะมูลค่ามันมหาศาล นักโบรานคดีเล่าว่าเขาพบที่วิหาร อะมอนรา(Amonra) ในธีบิส คาดว่าอายุราว1600ปี เมอร์เรย์ตกลงจะซื้อ นักโบรานคดีก็เลยบอกว่า "แต่มันมีอาถรรพ์หน่อยนะ" เพราะสิ่งที่จารึกบนหีบมีข้อความว่า "มันผู้ใดบังอาจรบกวนสถานที่ซึ่งเป็นที่ที่ร่างของข้าได้สถาปนาไว้ในอาณาจักรแห่งลุ่มน้ำไนล์ มันผู้นั้นจะต้องพบกับภัยพิบัติสยดสยองทุกวัน มันต้องตายทุกคนความที่เมอร์เรย์ไม่เชื่อคำสาบ จึงตัดสินใจซื้อหีบลง พร้อมทั้งดีใจที่ได้ซื้อมาในราคาที่ถูก ต่อมาไม่กี่ชั่วโมง มีข่าวว่านักโบรานคดีชาวอเมริกันผู้ซึ่งขายหีบให้ จบชีวิตลงอย่างปริศนา หรือเพราะคำสาป? เมอร์เรย์ตัดความรู้สึกฉงนทิ้ง และ รีบที่จะส่งหีบไปกรุงลอนดอนเพื่อจัดแสดง เมอร์เรย์จึงตัดสินใจจ้างบริษัทเดินเรือเพื่อขนหีบไปนครลอนดอน แต่ว่าสามวันหลังจากนั้น มีเหตุให้เขาได้ไปยิงปืนปรากฏว่า ปืนเกิดระเบิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุโดนแขนเขาเปงแผลแหวะ หมอต้องตัดแขนทิ้งกลายเป็นคนพิการ อุบัติเหตุคราวนี้ทำให้ต้องส่งหีบไปกับเรือล่วงหน้า ส่วนตัวเขาก็พักรักษาอาการที่ไคโรหลังจากที่เขาหายดีแล้ว เขาก็รีบเดินทางไปลอนดอนแต่ระหว่างการเดินทางอยู่ในเรือ เพื่อนของเขาที่มีส่วนในการขนหีบพระศพ2คน และ หญิงรับใช้ชาวอียิปอีก1 พร้อมใจกันตายโดยไม่ทราบสาเหตุ อย่างไรก็ตาม พอเมอร์เรย์ไปถึงอังกฤษ เขาก็รีบจัดการนำหีบพระศพออกจากโกดังท่าเรือกลับบ้าน เขาตัดสินใจเปิดหีบออกดู เขาถึงกลับผงะ ก็เพราะว่า มัมมี่ที่เขาเห็นต่างจากที่เขาเห็นครั้งแรก มันดูเหมือนใบหน้าของคนมีชีวิตอยู่ จ้องมองเขาเขม็งด้วยความอาฆาต เมอร์เรย์จึงปักใจเชื่อสนิทเลยว่า สิ่งที่เขาเห็นและสัมผัสทั้งหมดคือ คำสาป เมอร์เรย์จึงรีบหาหนทางเอาหีบออกไปให้พ้นตัว หญิงร่วมชั้นเรียนของเขารับอาสาจะรับไว้เอง ต่อมาแม่ของเธอล้มป่วยเสียชีวิต สามีทิ้ง แล้วตัวเธอก็เป็นประสาทไปเลย เมอร์เรย์เห็นท่าจะไม่ดีจึงคิดหาทางมอบต่อไปที่พิพิธภัณฑ์อังกฤษ พิพิธภัณฑ์ก็แสนใจดีรับเฉยเลย แล้วก็เอามาจัดแสดง เปิดให้นักท่องเที่ยวซื้อบัตรเข้าชม เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น ขณะที่นักท่องเที่ยวคนหนึ่งกำลังถ่ายภาพหีบพระศพอยู่ดีๆ ก็มีอันล้มตึงขาดใจตายคาที่เลย แค่นั้นยังไม่พอ นักอียิปวิทยาที่แตะต้องหีบ ก็นอนตายตาเหลือกคาเตียง กลายเป็นข่าวไปทั่วอังกฤษเลย ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์อังกฤษเลยตัดสินใจมอบให้พิพิธภัณฑ์แห่งชาตินิวยอร์ค โดยจัดส่งไปทางเรือที่ดีที่สุด ทันสมัยที่สุด และใหญ่ที่สุด นั่นคือ "เรือไททานิค"


เรือไททานิค เรือที่กล่าวกันว่าไม่มีวันจม แต่ถ้าคนรู้ว่าขนย้ายหีบพระศพก็คงจะกลัวกันแล้วไม่กล้าขึ้น เรือไททานิคเที่ยวแรกออกเดินทางจาก เซ้าแธมป์ตัน สู่นิวยอร์ค วันที่ 15 เมษา คศ 1912 แล้วทั่วโลกก็ต้องตะลึงกะข่าวที่ว่า เรือไททานิกชนภูเขาน้ำแข็งอัปปางลงกลางมหาสมุทรแอตแลนติก มีผู้โดยสารเสียชีวิต 1498 คน ชะรอยเจ้าหญิงองค์นี้คงต้องการอยู่อย่างสงบ ปราศจากการรบกวน เธอจึงเลือกท้องน้ำที่ลึกที่สุดพร้อมด้วยบริวารติดตามอีก 1498 คน

การระเบิดของภูเขาไฟ

การระเบิดของภูเขาไฟ
หลายคนเชื่อว่าลาวาเป็นวัตถุชิ้นแรกที่ถูกปล่อยออกมาจากภูเขาไฟซึ่งนั่นไม่เป็นความจริงเสมอไป ทั้งนี้ในระยะแรกอาจพ่นเอาเศษหินขนาดใหญ่ออกมาจำนวนมากเรียกว่า"ลาวา บอมบ์"(Lava bomb)ส่วนเถ้าถ่านและ ฝุ่นละอองเกิดขึ้นต่อมาอย่างปกตินอกจากนั้นการเกิดระเบิดของภูเขาไฟยังปล่อยเอาก๊าซออกมาอีกด้วยดังจะกล่าวในรายละเอียด ตามลำดับดังนี้

ลาวาหลาก (Lava flow)
เนื่องด้วยลาวาที่มีปริมาณซิลิกาต่ำหรือลาวาที่มีองค์ประกอบเป็นบะซอลต์ปกติจะมีความเหลวมากและไหลเป็นชั้นบางๆแผ่เป็นแผ่นกว้างเหมือนลิ้นตัวอย่างบนเกาะฮาวาย ลาวาจะไหลออกมาด้วยความเร็ว 30 km./h บนพื้นที่ที่ชันมาก อย่างไรก็ตามความเร็วแบบนี้เกิดขึ้นได้น้อยมาก โดยปกติพบว่ามีความเร็ว 10 - 300 m./h ในทางกลับกันการเคลื่อนที่ของลาวาที่มีซิลิกาสูงจะช้ากว่า เมื่อลาวาบะซอลต์ของการปะทุแบบฮาวายเอียนแข็งตัวมันจะมีผิวเรียบบางทีเป็นคลื่น(Wrinkle)ในขณะที่ลาวาด้านในใต้พื้นผิวซึ่งยังหลอมอยู่จะเคลื่อนที่ต่อไป ลักษณะนี้เรียกว่า "การไหลแบบ ปาฮอยฮอย (Pahoehoe flow)" ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับริ้วเชือกบิดลาวาบะซอลตืทั่วๆไปจากแหล่งอื่นมักมีผิวขรุขระ เป็นแท่ง ขอบไม่เรียบแหลมคมหรือมีหนามยื่นออกมาเรียกว่า"อาอา(Aa)"ซึ่งเกิดจากลาวาประเภทนี้เช่นกันอาอาที่กำลังไหลออกมาจะเย็นและหนาขึ้นอยู่กับความชันของ ภูมิประเทศที่มันไหลมามีความเร็วของการไหลประมาณ 5-50m./h นอกจากนั้นก๊าซที่ออกมาจะทำให้ผิวของลาวาที่เย็นแตกออกและให้รูหรือช่องว่างขนาดเล็ก ที่มีปากรูเป็นหนามแหลมคมเมื่อลาวาแข็งตัวแล้ว
แหล่งที่มา:คณาจารย์คณะวิทยาศาสตร์.สารานุกรมวิทยาศาสตร์.2534.

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ฝนดาวตก

ฝนดาวตก คือดาวตกหลายดวงที่ดูหมือนพุ่งออกมาจากบริเวณเดียวกันในท้องฟ้าในช่วงเวลาเดียวกันของปี ซึ่งเกิดจากเศษชิ้นส่วนในอวกาศที่พุ่งเข้ามาในบรรยากาศโลกด้วยอัตราเร็วสูง แต่ละคราวที่ดาวหางเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์ จะมีเศษชิ้นส่วนขนาดเล็กของดาวหางถูกสลัดทิ้งไว้ตามทางโคจร เรียกว่า "ธารสะเก็ดดาว" หากวงโคจรของโลกและของดาวหางซ้อนทับกัน โลกจะเคลื่อนที่ผ่านธารสะเก็ดดาวในช่วงวันเดียวกันของแต่ละปี ทำให้เกิดฝนดาวตก

การที่สะเก็ดดาวในธารเดียวกัน เคลื่อนที่ขนานกันและมีอัตราเร็วเท่ากัน ดาวตกที่เราเห็นจึงดูเหมือนพุ่งออกมาจากจุดเดียวกันในท้องฟ้า ซึ่งเป็นผลจากทัศนมิติ (perspective) เปรียบเหมือนกับที่เราเห็นรางรถไฟไปบรรจบกันที่ขอบฟ้า เมื่อยืนดูจากกลางราง

วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สุดยอด!! ผักผลไม้เพื่อสุขภาพ

สุดยอด!! ผักผลไม้เพื่อสุขภาพ
เพื่อสุขภาพพลานามัยที่ดีของคุณสาวๆ ขอแนะนำผักผลไม้ 7 ชนิด สำหรับคุณผู้หญิงที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีสารที่เป็นประโยชน์แก่หญิงทุกวัย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งงดงาม และยังช่วยชะลอความชราได้อีกด้วย ดังนี้ ลูกพรุน (Prunes)

ลูกพรุน เป็นแหล่งที่ดีของโปแตสเซียม เหล็กและไฟเบอร์ ที่สำคัญพรุนช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด พรุนเป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดี พรุนแห้งหนึ่งขีดมีธาตุเหล็ก 2.78มิลลิกรัมและมีวิตามิน ซี ซึ่งช่วยในการดูดซึมธาตุต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นหากคุณผู้หญิงอยากมีร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ริมฝีปากแดงสดเหมือนสตรอเบอรี่ แก้มแดงใสเหมือนลูกเชอรี่โดยไม่ต้องใช้เครื่องสำอาง ดูเป็นคนที่มีสุขภาพดีสมบูรณ์ด้วยเลือดฝาด


ถั่ว ผู้หญิงทุกคนอยากมีหุ่นสวยเพรียว ไม่มีไขมันส่วนเกินสะสม “ถั่วช่วยคุณได้ค่ะ” ถั่วเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน เหล็ก วิตามินบี นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบว่าเมื่อคุณรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำได้ (ซึ่งถั่วมีอยู่แล้วมากมาย)ไฟเบอร์จะเคลือบผิวกระเพาะทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและอิ่ม-นานความอยากอาหารจะลดลง ซึ่งแน่นอนว่ามีประโยชน์กับคุณสุภาพสตรีที่ต้องการลดความอ้วนเป็นอย่างมาก
แอปเปิ้ล มีสารสำคัญ คือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ “เพคติน” แต่ที่น่าสนใจสำคัญคุณผู้หญิงทั้งหลายคือ เจ้าตัว “เพคติน”นี้มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนัก และลดโคเลสเตอรอล หากคุณหิวจนตาลาย แต่ยังไม่ถึงเวลาอาหารแอปเปิ้ลสักลูกจะช่วยลดความหิวได้ เพราะแอปเปิ้ลมีแป้ง และน้ำตาลในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวถึง 75 %ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมน้ำตาลพิเศษชนิดนี้ได้รวดเร็วและนำไปใช้ประโยชน์ได้ ในเวลาไม่เกิน 10 นาที

บรอคโคลี่ เป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคุณสุภาพสตรีทั้งหลาย เพราะบรอค-โคลี่เป็นแหล่งซีลีเนียมตามธรรมชาติซึ่งเจ้าตัว ซีลีเนียมนี้ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ (ซีลี-เนียมจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง จึงทำให้ผิวดูอ่อนวัยนุ่มนิ่ม มีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาว) แถมยังช่วยลบริ้วรอยเหี่ยวย่นอีกด้วย

กล้วยไข่ กล้วยทุกชนิด ดีต่อสุขภาพแต่กล้วยไข่ดีเป็นพิเศษ ในเรื่องของสารต้านอนุมูลอิสระที่เรารู้จักกันดี คือ เบต้าแคโรทีน โดยธรรมชาติ เมื่อเราอายุพ้นยี่สิบสองไปแล้วความเจริญเติบโตของร่างกายจะเริ่มหยุดชะงัก ความเสื่อมในส่วนต่างๆ ของร่างกายก็จะเริ่มมาเยือนอย่างช้าๆ

ฝรั่ง ฝรั่ง 1 ขีดมีวิตามินซีสูงถึง180 มิลลิกรัม วิตามินซีมีบทบาทในการสร้างคอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณเต่งตึงไม่แก่ก่อนวัยวิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเจ้าตัวสารต้านอนุมูลอิสระนี้เองที่ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินเสื่อมสภาพผิวหนังแห้งเหี่ยว เกิดริ้วรอยตีนกาวิตามินซี มีความสำคัญต่อการสร้าง และบำรุงเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน(ConnectiveTissue) เซลล์นับล้านๆ ตัวเกาะเกี่ยวกันเป็นร่างกายได้ด้วยเนื้อเยื่อที่เรียกว่า คอลลาเจนมันคือคอลลาเจนตัวเดียวกันกับคอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณผู้หญิงทั้งหลายเต่งตึงนั่นเอง และเพราะฝรั่งอุดมไปด้วยวิตามินซีนั่นเอง คุณๆทั้งหลายที่อยากคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวให้แก่ผิวสวยไว้นานๆน่าจะลองหันมารับประทานฝรั่งเป็นประจำ


ส้ม แหล่งวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรม-ชาติ การรับประทานส้มโดยไม่คายกากจะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกวิธีหนึ่ง เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็ว เป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักได้อย่างดีทีเดียวค่ะ นอกจากนี้ หากรู้สึกหิวก่อนเวลา แทนที่จะนึกถึงเค้กก้อนโต หรือโดนัทชิ้นใหญ่ให้ลองหยิบส้มสักลูกเข้าปากแทนจะได้ประโยชน์มากกว่าในราคาที่ถูกกว่าด้วย

ผักและผลไม้ทั้ง 7 ชนิดที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นเพียงแนวทางเบื้องต้น สำหรับคุณๆ ผู้หญิงทุกท่านที่ต้องการรักษาสุขภาพ นอกจากผักผลไม้ทั้งเจ็ดนี้แล้วผักและผลไม้อื่นๆ ก็มีคุณประโยชน์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันสถาบันโภชนาการแห่งชาติอเมริกาจึงได้แนะนำขนาด-ในการรับประทานผักผลไม้ในแต่ละวันว่า ควรจะรับประทานรวมกันให้ได้วันละครึ่งกิโล หรือ 5 ขีดจะช่วยให้คุณๆทั้งหลายมีสุขภาพแข็งแรง แจ่มใส ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บมารบกวน

ประวัติ UFO

คำว่า"ยูเอฟโอ"นี้มันมาจาก UFO=Unidentified flying Objectหรือถอดพอได้ใจความตามภาษาไทยว่า"วัตถุบินที่ไม่สามารถจำแนกได้"หรือรวบรัดเอาง่ายๆว่า จานผี ซึ่งมันก็เป็นอะไรสักอย่างที่สับสนอยู่เหมือนกัน ถ้าท่านพูดกับบุคคลที่ไม่ได้ติดตามเรื่องนี้มา แล้วพวกเขาก็จะคิดขึ้นมาทันทีว่า-มันเป็นจานบินที่ขับขี่โดยมนุษย์ตัวเล็กๆสีเขียว-ซึ่งไม่ถูกต้องเลย

ยูเอฟโอนี้มันหมายถึง"วัตถุหรือปรากฏการณ์ใดๆในอากาศซึ่งผู้พบเห็นไม่สามารถที่จะอธิบายได้" ซึ่งมันอาจจะเป็นลูกไฟประหลาดหรือประเภทของดาวตก,เมฆที่ก่อตัวเป็นรูปร่างแปลกประหลาดกลุ่มหมู่บินหรือการบุกของกองเรือรบ

ยูเอฟโอส่วนมากที่สุดคือเหตุการณ์โดยธรรมชาติที่ห่างไกลจากคำอธิบายของนวนิยายในทางวิทยาศาสตร์ใด ๆ ถ้าท่านเกิดความรู้สึกที่อยากจะหาเรื่องหาราวขึ้นมาในวันนี้แล้วละก็คำว่า"บิน"นี้มันก็อาจจะรวมได้ทั้ง บางสิ่งบางอย่างที่มันตกลงมา จากฟากฟ้าหรือแม้แต่กลไกอะไรสักอย่างที่มันลงมาสู่พื้นดิน

วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ธารมรกตแห่งป่าตะวันตก อุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์

“น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น” เป็นน้ำตกหินปูนขนาดใหญ่ มีเอกลักษณ์ตรงที่สายน้ำที่ไหลผ่านลำห้วยแม่ขมิ้น แล้วลดหลั่นไปตามเชิงชั้นหินปูนเกิดเป็นน้ำตกที่สวยงาม 7 ชั้น คล้ายกับน้ำตกเอราวัณ อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนคริทร์เพียง 100 เมตร เป็นน้ำตกที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย มีระยะทางรวม 2,270 เมตร มีแมกไม้น้อยใหญ่แซมสลับขึ้นตามแก่งหินและก้อนหินด้านข้าง สร้างความร่มรื่น สวยงาม สบายตา สมฐานะน้ำตกที่สวยที่สุดของไทย น้ำตกแต่ละชั้นมีชื่ออันไพเราะว่า ดงว่าน ม่านขมิ้น วังหน้าผา ฉัตรแก้ว ไหลจนหลง ดงผีเสื้อ และร่มเกล้า สามารถเดินเลาะริมน้ำขึ้นไปชมน้ำตกได้ทุกชั้น โดยน้ำตกชั้นฉัตรแก้วถือว่ามีความงดงามที่สุด

เขื่อนศรีนครินทร์เป็นอุทยานแห่งชาติที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของภาคตะวันตกของ ไทย ครอบคลุมเนื้อที่กว้างขวางถึง 1,532 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าดงดิบทึบรอบอ่างเก็บน้ำเขื่อนศรีนครินทร์ โดยมีสายน้ำแควใหญ่หลากไหลตลอดปี และมีน้ำตกแม่ขมิ้นที่งดงามน่าประทับใจ นอกจากพื้นป่าที่ชอุ่มเขียวแล้ว ความยิ่งใหญ่ของอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนคริทร์ยังเผยออกมาในรูปของน้ำตกที่ สวยงามหลายแห่ง เช่น น้ำตกห้วยขมิ้น น้ำตกผาตาด ที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก นอกจากนี้อุทยานแห่งชาติได้จัดทำเส้น ทางศึกษาธรรมชาติของป่าเบญจพรรณและป่าเต็งรัง โดยจะผ่านจุดชมทิวทัศน์ของอ่างเก็บน้ำเขื่อนศรีนครินทร์ ผู้สนใจติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว

ทางรถไฟสายมรณะ กาญจนบุรี

ทางรถไฟสายมรณะ กาญจนบุรี
ทางรถไฟสายมรณะ ทางรถไฟสายนี้เริ่มต้นจากสถานีหนองปลาดุก อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ผ่านจังหวัดกาญจนบุรีข้ามแม่น้ำแควใหญ่ไปทางทิศตะวันตกจนถึงด่านเจดีย์สามองค์ เพื่อให้ถึงปลายทางที่เมืองตันบูซายัด ประเทศพม่า รวมระยะทางในเขตประเทศไทย 300 กิโลเมตร ใช้เวลาในการสร้างเสร็จเพียง 1 ปี ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ.2485 ถึงเดือนตุลาคม พ.ศ.2486 เพื่อใช้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ผ่านประเทศพม่า หลังสงครามทางรถไฟบางส่วนถูกเลาะทิ้ง บางส่วนจมอยู่ใต้ทะเลสาบเขื่อนเขาแหลม ทางรถไฟสายนี้ถือเป็นอนุสรณ์ให้รำลึกถึงเหตุการณ์สงครามในครั้งนั้นจากน้ำพักน้ำแรงของการบุกเบิกก่อสร้างของทหารเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรที่กองทัพญี่ปุ่นเกณฑ์มา ทิวทัศน์ตลอดเส้นทางนี้สวยงามมาก โดยเฉพาะบริเวณถ้ำกระแซ ที่เส้นทางรถไฟจะลัดเลาะไปตามเชิงผาเลียบไปกับลำน้ำแควน้อยปัจจุบันทางรถไฟสายนี้สุดปลายทางที่บ้านท่าเสาหรือสถานีน้ำตก ระยะทางจากสถานีกาญจนบุรีถึงสถานีน้ำตกประมาณ 77 กิโลเมตร

วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วันลอยกระทง

วันลอยกระทง


วันลอยกระทง เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทย ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย ตามปฏิทินจันทรคติล้านนา "มักจะ" ตกอยู่ในราวเดือนพฤศจิกายน ตามปฏิทินสุริยคติ ประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อพระแม่คงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก สำหรับประเทศไทยประเพณีลอยกระทงได้กำหนดจัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง หรือ แหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไป

ในวันลอยกระทง ผู้คนจะพากันทำ "กระทง" จากวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตบแต่งเป็นรูปคล้ายดอกบัวบาน ปักธูปเทียน และนิยมตัดเล็บ เส้นผม หรือใส่เหรียญกษาปณ์ลงไปในกระทง แล้วนำไปลอยในสายน้ำ (ในพื้นที่ติดทะเล ก็นิยมลอยกระทงริมฝั่งทะเล) เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ไป นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการลอยกระทง เป็นการบูชาพระแม่คงคาด้วย

ประวัติ
เดิมเชื่อกันว่าประเพณีลอยกระทงเริ่มมีมาแต่สมัยสุโขทัย ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง โดยมีนางนพมาศหรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ เป็นผู้ประดิษฐ์กระทงขึ้นครั้งแรก โดยแต่เดิมเรียกว่าพิธีจองเปรียง ที่ลอยเทียนประทีป และนางนพมาศได้นำดอกโคทม ซึ่งเป็นดอกบัวที่บานเฉพาะวันเพ็ญเดือนสิบสองมาใช้ใส่เทียนประทีป[ต้องการแหล่งอ้างอิง] แต่ปัจจุบันมีหลักฐานว่าไม่น่าจะเก่ากว่าสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยอ้างอิงหลักฐานจากภาพจิตรกรรมการสร้างกระทงแบบต่างๆ ในสมัยรัชกาลที่ 3
ปัจจุบันวันลอยกระทงเป็นเทศกาลที่สำคัญของไทย ที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศมาเที่ยวปีละมากๆ ทั้งนี้ในช่วงเวลาดังกล่าวมักจะเป็นช่วงต้นฤดูหนาว และมีอากาศดี ในวันลอยกระทง ยังนิยมจัดประกวดนางงาม เรียกว่า "นางนพมาศ"

ประเพณีในแต่ละท้องถิ่น
ภาคเหนือตอนบน นิยมทำโคมลอย เรียกว่า "ลอยโคม" หรือ "ว่าวฮม" หรือ "ว่าวควัน" ทำจากผ้าบางๆ แล้วสุมควันข้างใต้ให้ลอยขึ้นไปในอากาศอย่างบอลลูน ประเพณีของชาวเหนือนี้เรียกว่า "ยี่เป็ง" หมายถึงการทำบุญในวันเพ็ญเดือนยี่(ซึ่งนับวันตามแบบล้านนา ตรงกับวันเพ็ญเดือนสิบสองในแบบไทย)
จังหวัดตาก จะลอยกระทงขนาดเล็กทยอยเรียงรายไปเป็นสาย เรียกว่า "กระทงสาย"
จังหวัดสุโขทัย ขบวนแห่โคมชักโคมแขวน การเล่นพลุตะไล ไฟพะเนียง
ภาคอีสาน จะตบแต่งเรือแล้วประดับไฟ เป็นรูปต่างๆ เรียกว่า "ไหลเรือไฟ"โดยเฉพาะที่จังหวัดนครพนมเพราะมีความงดงามและอลังการที่สุดในภาคอีสาน
กรุงเทพมหานคร จะมีงานภูเขาทอง เป็นรูปแบบงานวัด เฉลิมฉลองราว 7-10 วัน ก่อนงานลอยกระทง และจบลงในช่วงหลังวันลอยกระทง
ภาคใต้ อย่างที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ก็มีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ นอกจากนั้น ในจังหวัดอื่นๆ ก็จะจัดงานวันลอยกระทงด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ในแต่ละท้องถิ่นยังอาจมีประเพณีลอยกระทงที่แตกต่างกันไป และสืบทอดต่อกันเรื่อยมา
ความเชื่อเกี่ยวกับวันลอยกระทง
-เป็นการขอขมาพระแม่คงคา ที่มนุษย์ได้ใช้น้ำ ได้ดื่มกินน้ำ รวมไปถึงการทิ้งสิ่งปฏิกูลต่างๆ ลงในแม่น้ำ
-เป็นการสักการะรอยพระพุทธบาท ที่พระพุทธเจ้าทรงได้ประทับรอยพระบาทไว้หาดทรายแม่น้ำนัมมทานที ในประเทศอินเดีย
-เป็นการลอยความทุกข์ ความโศกรวมถึงโรคภัยต่างๆ ให้ลอยไปกับแม่น้ำ
ชาวไทยในภาคเหนือมีความเชื่อว่า การลอยกระทงเป็นการบูชาพระอุปคุต ตามตำนานเล่าว่า พระอุปคุตทรงสามารถปราบพญามารได้

สนามบินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยคือ ?


สนามบินสุวรรณภูมิ

สนามบินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศก็คือ ท่าอาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ส่วนรายละเอียดเรามาดูกันนะคะ ตั้งอยู่ที่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการค่ะโดยชื่อของสนามบินนี้ แปลว่า "แผ่นดินทอง" เป็นชื่อพระราชทาน

โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2543 และเสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ อาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในวันที่ 19 มกราคม พ.ศ.2545

ชื่อสากลของสนามบินสะกดตามการถ่ายตัวสะกดภาษาสันสกฤต ว่า "Suvarnabhumi" แทนที่การเขียนทับศัพท์ตามระบบราชบัณฑิตยสถาน ว่า "Suwannaphum"

กว่า 40 ปี กับโครงการเมกกาโปรเจคอย่างสนามบินหลักแห่งชาติ ของไทย สนามบินหนองงูเห่า ที่ได้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า "ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ" (Suvarnabhumi Airport) อันเป็นชื่อที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานให้ และทรงเสด็จมาวางศิลาฤกษ์ไปเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2545 ถึงแม้กำหนดเปิดใช้ จะล่าช้ามา 1 ปีเต็ม แต่วันที่รอคอยนั้นก็มาถึงในปลายเดือนกันยายน 2549 นี้จริงๆ แล้ว ความไม่คุ้นเคยอาจทำให้หลายๆท่านที่จะไปใช้บริการที่นั้นมีความกังวลใจอยู่บ้าง จึงขอนำข้อมูลบางส่วนของสนามบินใหม่นี้มาแนะนำ

สนามบินสุวรรณภูมิ นับเป็นความภาคภูมิใจของชาวไทยอีกอย่างหนึ่ง ด้วย มีความเป็นที่สุดที่พอใช้ไปคุยกับใครๆได้บ้างในเวลานี้ คือ มีหอบังคับการบินที่สูงที่สุด ในโลก สูงถึง 132 เมตร และมีอาคารผู้โดยสาร ที่เป็นอาคารเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุด โดยมี พื้นที่ใช้สอยประมาณ 563,000 ตารางเมตร มีโรงแรมในพื้นที่สนามบิน คือ โรงแรม โนโวเทล ขนาด 600 ห้อง สนามบินนี้อยู่ในความดูแลของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงคมนาคม ตัวสนามบินตั้งอยู่ในเขต อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ มีพื้นที่ประมาณ 20,000 ไร่ จากข้อมูลเบื้องต้นนี้ จะเห็นว่าทุกอย่างมันจะดูใหญ่โตกว้างขวางไปหมด แต่สบายใจได้ครับการออกแบบ และการจัดระบบจะช่วยให้เราไปใช้งานสนามบินได้อย่างสะดวสบายขึ้นกว่าเดิม

เส้นทางสู่สนามบิน
เส้นทางสู่สนามบินนั้นได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่รับผิดชอบแต่ละเส้นทางที่มุ่งสู่สนามบินใหม่ จัดสร้างเส้นทางที่สะดวกสบายกว้างขวางไว้รองรับจำนวนผู้มาใช้บริการ ให้สมกับความใหญ่โตกว้างขวางของตัวสนามบินโดยสามารถเข้าสู่สนามบินได้ 5 เส้นทาง
คือ 1 ทิศเหนือ เป็นเส้นทางยกระดับ ขนาด 8 ช่องจราจร เชื่อมกับถนนกรุงเทพ ชลบุรีสายใหม่ (มอเตอร์เวย์) เข้าสู่อาคารผู้โดยสาร
2 ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นถนนขนาด 6 ช่องจราจร เชื่อมกับทางยกระดับจากถนนร่มเกล้าและถนนกิ่งแก้ว
3 ทิศใต้ เป็นถนนขนาด 4 ช่องจราจร เชื่อมกับถนนบางนา-ตราด และทางด่วนบูรพาวิถี
4 ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นถนนขนาด 4 ช่องจราจร เชื่อมกับถนนอ่อนนุช
5 ทิศตะวันตก เป็นถนนขนาด 4 ช่องจราจร เชื่อมกับถนนกิ่งแก้ว

สำหรับท่านที่อยู่ทางด้านทิศเหนือของสนาม บิน เราแนะนำว่าใช้เส้นทาง มอเตอร์เวย์จะสะดวก ที่สุด เนื่องจากมีถนนที่กว้างขวางสะดวกด้วย สะพานต่างๆที่ เชื่อมตรงเข้าสู่อาคารผู้โดยสารได้ อย่างสะดวก แต่ถ้าอยู่ด้านอื่นก็สามารถเลือกเส้น ทางที่ท่านสะดวกที่สุดได้ นอกจากนั้นในอนาคตอีกปีสองปีก็จะ มีรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน สายพญาไท-มักกะสัน-สุวรรณภูมิ (AirportLink) ที่จะเพิ่มความ สะดวกอีกด้วย

...เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีรถเมล์ปรับ อากาศบริการอีก 6 เส้นทาง (ในระยะแรก จะมีสายเฉพาะกิจ ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ อีก 1 เส้นทาง คือ
...- บางกะปิ-มีนบุรี-สุวรรณภูมิ (สาย 549)
...- แฮปปี้แลนด์-สุวรรณภูมิ (สาย 550)
...- อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-สุวรรณภูมิ (สาย 551)
...- สถานีรถไฟฟ้าอ่อนนุช-สุวรรณภูมิ (สาย 552)
...- สมุทรปราการ-สุวรรณภูมิ (สาย 553)
...- รังสิต-สุวรรณภูมิ (สาย 554)

...โดยภายในสนามบินจะมีจะมี "ศูนย์บริหาร การขนส่งสาธารณะ" ที่เป็นศูนย์ รวมของรถประจำ ทาง รถแท็กซี่สาธารณะ รถเช่า ซึ่งอยู่ห่างจากสนาม บินราว 2 กม. เราจะต้องนั่่งรถ Shuttle bus (ฟรี) ซึ่งมีทุก 3 นาที ระหว่างศูนย์ฯกับอาคารผู้โดยสารมาใช้ บริการได้ ..และสำหรับท่านที่ต้องการ นำรถไปจอด ค้างคืนที่สนามบินก็ สามารถทำได้ ทางสนามบินจัดพื้นที่ไว้โดย เฉพาะซึ่งก็อยู่ใกล้ๆกับศูนย์บริหารการขนส่ง สาธารณะ(2 กม.เหมือนกัน)